บทบาทและพัฒนาการของวงกลองยาว กรณีศึกษา : หมู่บ้านเนินหว้า ตำบลกง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ระหว่างปีพ.ศ. 2548–2568

ผู้แต่ง

  • วศิน ปัญญาวุธตระกูล คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
  • ณัฐณิชา สุขเมือง คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

DOI:

https://doi.org/10.64186/jsp2816

คำสำคัญ:

กลองยาว , ชาติพันธุ์ไททรงดำ, กงไกรลาศ, นิเวศวิทยาวัฒนธรรม

บทคัดย่อ

        บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพัฒนาการและบทบาทของวงกลองยาวในอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ระหว่าง พ.ศ. 2548-2568 และ 2) วิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำรงอยู่ของศิลปะพื้นบ้านนี้ การวิจัยนี้ใช้แนวทางประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถิ่น โดยมีระเบียบวิธีทางประวัติศาสตร์บอกเล่า (Oral History) ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 5 คน ซึ่งเป็นผู้นำชุมชนและสมาชิกวงกลองยาวในตำบลเนินหว้า  ผลการศึกษาพบว่า การดำรงอยู่ของวงกลองยาวสะท้อนถึงกลไกการปรับตัวทางวัฒนธรรมเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไททรงดำ เพื่อรักษาการปฏิบัติพิธีกรรมหลักท่ามกลางแรงกดดันทางสังคม และผลการศึกษาพบว่า การดำรงอยู่ของวงกลองยาวสะท้อนถึงกลไกการปรับตัวทางวัฒนธรรมเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไททรงดำ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดนิเวศวิทยาวัฒนธรรม (Cultural Ecology) ที่ชุมชนได้ปรับเปลี่ยนวิถีปฏิบัติ เพื่อรักษาพิธีกรรมหลักท่ามกลางแรงกดดันทางสังคมและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังพบการสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมใหม่เพื่อรองรับการท่องเที่ยว โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อความยั่งยืน ได้แก่ ความเข้มแข็งของเครือข่ายเครือญาติ การสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการปรับประยุกต์รูปแบบการแสดงให้สอดคล้องกับรสนิยมร่วมสมัย สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตและความยืดหยุ่นของศิลปะพื้นบ้าน ที่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยการเจรจาต่อรองระหว่างจารีตประเพณีกับบริบทสังคมร่วมสมัย นอกจากนี้ ยังพบการสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมใหม่เพื่อรองรับการท่องเที่ยว พัฒนาการของวงกลองยาวแบ่งออกเป็นสามระยะหลัก: ระยะแรก (พ.ศ. 2548-2555) เน้นการแสดงพิธีกรรมดั้งเดิม โดยใช้วัสดุท้องถิ่น เช่น ไม้ขนุนและหนังวัว  ระยะกลาง (พ.ศ. 2556-2562) เป็นการปรับสู่รูปแบบประยุกต์เพื่อการแข่งขันระดับจังหวัด โดยมีการเพิ่มเครื่องดนตรีร่วมสมัยและรับอิทธิพลทางดนตรีจากภายนอก  ระยะหลัง (พ.ศ. 2563-2568) เป็นยุคของการฟื้นฟูเชิงฟังก์ชันในท้องถิ่น (ตั้งวงใหม่ พ.ศ. 2563) โดยมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการลดค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าภาพงานบุญ  การกำหนดราคาค่าบริการที่เข้าถึงได้ (3,000  - 4,000 บาท) ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจวัฒนธรรม  บทบาทของกลองยาวยังขยายสู่การส่งเสริมสุขภาวะและความสามัคคีในชุมชน ผ่านการใช้สื่อดิจิทัลเพื่อเข้าถึงเยาวชน วงกลองยาวยังคงเผชิญความท้าทายสำคัญด้านการขาดแคลนผู้สืบทอด และวัตถุดิบหลักในการผลิต (หนังวัว) ซึ่งคุกคามอัตลักษณ์ทางดุริยางคศิลป์ดั้งเดิม  งานวิจัยนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงพลวัตและความยืดหยุ่นของศิลปะพื้นบ้าน  ที่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยการเจรจาต่อรอง  ระหว่างจารีตประเพณีกับบริบทสังคมร่วมสมัย  ที่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยการเจรจาต่อรองระหว่างจารีตประเพณีกับบริบทสังคมร่วมสมัย เป็นแนวทางสำคัญในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

ประวัติผู้แต่ง

วศิน ปัญญาวุธตระกูล, คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ตำแหน่งทางวิชาการ:
รองศาสตราจารย์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ประวัติการศึกษา:
• ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต (พัฒนาสังคม), มหาวิทยาลัยนเรศวร
• อักษรศาสตรมหาบัณฑิต (ประวัติศาสตร์), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
• ศิลปศาสตรบัณฑิต (ประวัติศาสตร์เพื่อการท่องเที่ยว), มหาวิทยาลัยนเรศวร

ความเชี่ยวชาญทางวิชาการ:
• การพัฒนาสังคมและชุมชน
• ประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
• การจัดการการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม
• อารยธรรมลุ่มน้ำโขง–สาละวิน
• การพัฒนาเมืองและการจัดการมรดกทางวัฒนธรรม

ประสบการณ์ทางวิชาการและงานวิจัย
รศ. ดร.วศิน ปัญญาวุธตระกูล เป็นนักวิชาการผู้มีความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และการพัฒนาสังคม โดยมุ่งเน้นศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชุมชน ผ่านมิติของการท่องเที่ยวและมรดกวัฒนธรรมในภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย

ท่านมีผลงานวิจัยจำนวนมากที่ได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานระดับชาติ เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
ผลงานวิจัยที่โดดเด่น อาทิ
• “การจัดการการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมในจังหวัดอุตรดิตถ์ แพร่ น่าน” (2558)
• “การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง” (อยู่ระหว่างดำเนินการ)
• “การพัฒนารูปแบบและผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวในจังหวัดพิษณุโลกเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและนักท่องเที่ยวในกลุ่มอาเซียน” (2558)

นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับจังหวัด และเป็นที่ปรึกษาทางวิชาการให้กับหน่วยงานราชการ องค์กรท้องถิ่น และกองทัพภาคที่ 3

ผลงานทางวิชาการที่สำคัญ:
• วศิน ปัญญาวุธตระกูล และอภิสิทธิ์ ปานอิน. (2559). สีสันแห่งชีวิตของคนถีบสามล้อเมืองพิษณุโลก. พิษณุโลก: รัตนสุวรรณการพิมพ์.
• Panyavuttrakul, W., & Tinakhat, P. (2559). “Arts and Cultural Based Tourism Management in Uttaradit, Phrae and Nan Provinces.” Khong–Salawin Civilization Journal, 7(1), 115–136.
• วศิน ปัญญาวุธตระกูล. (2558). “มะยุรี เหง้าสีวัฒน์: การนิยามความเป็นลาวในประชาคมโลก.” ชุมทางอินโดจีน: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปริทัศน์, 4(7), 457–473.
• หนังสือชุด 7 ตำนานสมเด็จพระบูรพกษัตริย์แห่งสยาม (สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี, 2558).

เกียรติคุณและรางวัล:
• บุคลากรดีเด่นด้านการวิจัย (สายวิชาการ), คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2558
• ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม ด้านศิลปะสาขาโบราณคดี, กระทรวงวัฒนธรรม, 2558
• ศิษย์เก่าดีเด่น มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2558
• อาจารย์ผู้อุทิศตนเพื่อสังคม, คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2557

เอกสารอ้างอิง

Kitchunchu, L. (n.d.). Khwam chara kap sathanphap lae botbat khong phu sung ayu nai chumchon Song: Karani sueksa Ban Noen Wa [Unpublished master’s thesis]. Silpakorn University.

Kuutma, K. (1998). Changes in folk culture and folklore ensembles. Electronic Journal of Folklore, 6, 120–135.

Leclerc, G. (2021). Music as a cultural-level adaptation. Perspectives on Behavior Science, 44, 145–163. https://doi.org/10.1007/s40518-021-00171-4

Loetkanchanawat, K. (2015). Dontri phuenban nai phak nuea ton lang: Karani sueksa dontri Mangkhala [Folk music in the lower northern region: A case study of Mangkhala music] [Unpublished doctoral dissertation]. Silpakorn University.

Phikulthong, W. (2019). Botbat lae bot phatthana kan khong wong klong yao nai Roi Et. Journal of Roi Et Rajabhat University, 16(1), 282–295.

Saiphan, P. (n.d.). Thai Dam. Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre. https://ethnicity.sac.or.th/database-ethnic/177/

Srisuwan, N., & Hongthong, P. (2019). Naeothang songsoem sinlapakam phuenban klong yao su yaowachon [Guidelines for promoting folk performing arts of long drum for youths]. Journal of Graduate School, Phetchaburi Rajabhat University, 11(1), 214–227.

Steward, J. H. (1955). Theory of culture change: The methodology of multilinear evolution. University of Illinois Press.

Tambiah, S. J. (1970). Buddhism and the spirit cults in Northeast Thailand. Cambridge University Press.

Thongsiri, K. (2022). Chumchon chao Thai Song Dam: Kan opphayop lae kan tang thin than nai pak tai. Journal of Law and Political Sciences, 12(3), 250–270.

Wang, P., & Li, M. (2023). Economic income and the transmission of intangible cultural heritage: A case study of folk music. Frontiers in Psychology. https://doi.org/10.3389/fpsyg.2023.1166691

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

07-12-2025

รูปแบบการอ้างอิง

ปัญญาวุธตระกูล ว., & สุขเมือง ณ. (2025). บทบาทและพัฒนาการของวงกลองยาว กรณีศึกษา : หมู่บ้านเนินหว้า ตำบลกง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ระหว่างปีพ.ศ. 2548–2568. วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์, 2(1), 12 หน้า. https://doi.org/10.64186/jsp2816