วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR <p><strong><span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">ISSN 3057-076X</span> <span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">(Online)</span></strong></p> <p><strong> </strong></p> th-TH <p>บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร</p> journal.ssa.review@gmail.com (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ศรีพันธ์) journal.ssa.review@gmail.com (อ.วรานนท์ คลังสีดา วรนรากุล : เลขานุการสมาคมสังคมศึกษาสัมพันธ์ ) Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 MICROLEARNING FOR EDUCATIONAL EQUITY: BRIDGING LEARNING GAPS FOR LEARNERS IN REMOTE AREAS https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2785 <p> Deep-rooted educational inequality remains a major challenge in Thailand's remote and rural areas. Against this backdrop, this academic article explores the potential of Microlearning, or modularized learning, as an educational innovation that could help bridge existing learning disparities. Employing a systematic literature review methodology, the article synthesizes theoretical principles, evidence from applied case studies, and practical insights to demonstrate that concise, accessible, and mobile-based learning content directly aligns with the needs, lifestyles, and constraints of learners in remote contexts. This article connects the concept of Microlearning with established educational and psychological theories to explain its potential to enhance learning effectiveness. Drawing from Cognitive Load Theory and Self-Determination Theory, the study highlights the cognitive and motivational mechanisms underlying Microlearning's success. The findings suggest that Microlearning, when contextually adapted, can enhance learner motivation, autonomy, and retention. In addition, the article proposes a practical framework for implementing Microlearning that integrates contextually relevant content design, accessible technology, strategies for assessment and feedback, and a redefined role for facilitators. It also identifies possible challenges and provides policy recommendations for educators and government agencies. Ultimately, this article proposes Microlearning not only as a technological innovation but also as a human-centered approach to achieving long-term educational transformation.</p> Thaphat Khota, Tirdthun Prueprang, Pratan Phisngam, Manatsaree Ritthidech, Nilrat Kota ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2785 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 ผู้บริหารสถานศึกษาและคุณภาพชีวิตการทำงานของครูในยุค AI https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2646 <p><strong> </strong>บทความวิชาการนี้ศึกษาทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงาน (Quality of Work Life: QWL) ของครูในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เทคโนโลยีดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงการศึกษาและการบริหารจัดการอย่างรวดเร็ว ผู้เขียนนำเสนอ 1) คุณภาพชีวิตการทำงาน (QWL) ของครูในยุค AI 2) ความสำคัญของ QWL สำหรับครู 3) ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในยุค AI 4) ผลกระทบของทักษะผู้บริหารต่อ QWL ของครู และ 5) แนวทางการพัฒนาทักษะผู้บริหารเพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่เกื้อหนุน องค์ความรู้จากบทความนี้ชี้ให้เห็นว่า ทักษะผู้บริหาร เช่น ความรู้ด้าน AI การนำอย่างมีจริยธรรม และการส่งเสริมการพัฒนาวิชาชีพ มีบทบาทสำคัญในการลดความเครียด เพิ่มความพึงพอใจ และรักษาความมุ่งมั่นของครู ผลการวิเคราะห์งานวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนานโยบายการศึกษา การฝึกอบรมผู้บริหาร และการบูรณาการ AI เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและความเป็นอยู่ที่ดีของครูอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกำหนดนโยบายระดับชาติเพื่อสนับสนุนการฝึกอบรม AI สำหรับผู้บริหารและครู ซึ่งช่วยลดช่องว่างดิจิทัลและส่งเสริมการศึกษาแบบยั่งยืน</p> ณัฐสิชณ์ โพธิ์ศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2646 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การบริหารโรงเรียนขนาดเล็กตามแนวคิดโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2511 <p> บทความวิชาการนี้ศึกษาแนวคิดโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กให้สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพการศึกษาและผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน เช่น งบประมาณจำกัด การขาดแคลนครูผู้เชี่ยวชาญ และข้อจำกัดด้านทรัพยากร เพื่อใช้เป็นแนวทางการยกระดับคุณภาพการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำผ่านนวัตกรรมและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยแนวคิด SLC มีรากฐานมาจากปรัชญาประชาธิปไตยของ John Dewey และพัฒนาโดย Sato Manabu โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ วิสัยทัศน์ร่วมกันที่มุ่งให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับทุกคน, ปรัชญาที่ยึดหลักความเป็นสาธารณะ ประชาธิปไตย และความเป็นเลิศ และ ระบบกิจกรรมที่ประกอบด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือในห้องเรียน ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพครู (PLC) และการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชน องค์ความรู้จากบทความนี้เป็นการนำแนวคิด SLC ไปสู่การปฏิบัติในโรงเรียนขนาดเล็กสามารถทำได้ผ่านแนวทางหลัก 4 ด้าน คือ 1) การสร้างวิสัยทัศน์และข้อตกลงร่วมกันของทุกฝ่าย 2) การพัฒนาครูและห้องเรียนผ่านการทำงานแบบ PLC และการเปิดห้องเรียน 3) การสร้างความร่วมมือกับชุมชน โดยดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมและใช้ทรัพยากรท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์และ 4) การบริหารจัดการที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพด้วยการกระจายอำนาจและมีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง การประยุกต์ใช้แนวคิด SLC ช่วยให้โรงเรียนขนาดเล็กสามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียน สร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนอย่างยั่งยืน การศึกษาและกรณีศึกษาที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าแนวคิด SLC เป็นเครื่องมือสำคัญที่เปลี่ยนจากจุดอ่อนของโรงเรียนขนาดเล็กให้กลายเป็นจุดแข็ง ด้วยการใช้ทุนทางสังคมและศักยภาพของชุมชนมาขับเคลื่อนการศึกษาให้เท่าเทียมและครอบคลุมตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ</p> อุษณีย์ ศรีเจริญ, สุนทรี วรรณไพเราะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2511 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาในยุคพลิกผัน: บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ในการเป็นผู้ช่วยครูในโรงเรียนยุคใหม่ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2598 <p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ในการเป็นผู้ช่วยครูในโรงเรียนยุคใหม่ในยุคพลิกผัน (VUCA World) ซึ่งส่งผลต่อการจัดการเรียนการสอนที่แตกต่างไปจากเดิม อีกทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้เขามามี บทบาทในการพัฒนาด้านการศึกษาของประเทศไทยทั้งระบบ และในปัจจุบันได้มีการนำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกตใชในด้านการศึกษา เช่น การพัฒนาและปรับแต่งเนื้อหาให้มีความน่าสนใจและเข้าใจง่ายขึ้น การเป็นผู้ช่วยส่วนบุคคลในการให้คำแนะนำ และการสนับสนุนที่เหมาะสมหรือแม้แต่การพัฒนาสื่อมัลติมีเดียอย่างเกมการศึกษา เป็นต้น จึงเห็นได้ว่าบทบาทของปัญญาประดิษฐ์มีหลากหลาย ซึ่งบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ในการเป็นผู้ช่วยครูในโรงเรียน มีดังนี้ 1) การเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล 2) การประเมินผลผู้เรียนและข้อเสนอแนะ 3) การส่งเสริมทักษะครู 4) การสร้างแผนการสอนและกิจกรรมการเรียนรู้ และ 5) การบริหารจัดการสถานศึกษา ดังนั้นครูจึงตองพัฒนาตนเองเพื่อใหมีความรูด้านเทคนิคและวิธีการใชเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์อย่างชาญฉลาดและรู้เท่าทัน</p> อพัชชา ช้างขวัญยืน, อัตภาพ มณีเติม, พฤกษา ดอกกุหลาบ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2598 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การจัดการทรัพยากรมนุษย์ของโรงเรียนกวดวิชาในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2609 <p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ของโรงเรียนกวดวิชาในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยการวิเคราะห์และสังเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่าโรงเรียนกวดวิชาต้องมีการจัดการทรัพยากรมนุษย์ 5 ขั้นตอน คือ 1) การจัดหาบุคลากร 2) การพัฒนาบุคลากร 3) การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมนุษย์ 4) การธำรงรักษาบุคลากร และ 5) การบริหารผลการปฏิบัติงานของบุคลากร และมีแนวทางในการส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน 6 ขั้นตอน คือ 1) การวิเคราะห์ความสนใจของผู้เรียน 2) การวิเคราะห์องค์ความรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ 3) การวิเคราะห์รูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนและเพิ่มความหลากหลายของรูปแบบการเรียนรู้ 4) การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ การวางแผนการสอน และการเพิ่มความยืดหยุ่นของโครงสร้างเวลาเรียน 5) การประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบและวิธีการจัดเรียนรู้ และ 6) การพัฒนาครูเพื่อการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางเรียนของผู้เรียน และสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้เรียนและผู้ปกครอง รวมทั้งยังเป็นส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในการประกอบธุรกิจกวดวิชา จากสถานการณ์ของโลกที่มีความผันผวนซึ่งส่งผลให้ทุกประเทศต้องมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงนโยบายทางด้านต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย แต่ในทุกการเปลี่ยนแปลงชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไปเพื่อเอาตัวรอด หน่วยงานทุกภาคส่วนจึงจำเป็นต้องสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ดังนั้นการแสวงหาบุคคลที่มีคุณภาพเข้ามาทำงานเพื่อทำประโยชน์ให้กับองค์กรได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการส่งเสริมศักยภาพของบุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มกำลังจึงเป็นสิ่งสำคัญ </p> กรกฤช ศรีวิชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2609 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 มิติใหม่การเล่าเรื่องดิจิทัลบนเอไอไมโครซอฟท์โคไพลอต เพื่อเสริมสร้างทักษะความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1817 <p> บทความวิชาการนี้นำเสนอการใช้เทคโนโลยี Text-to-Image เอไอไมโครซอฟท์โคไพลอต เพื่อเสริมสร้างทักษะความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก โดยเน้นการประยุกต์ใช้เอไอไมโครซอฟท์โคไพลอต ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ในยุคดิจิทัล เอไอไมโครซอฟท์โคไพลอตช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างภาพจากคำบรรยายได้ทันที ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงเนื้อหากับสถานการณ์จริง กระตุ้นการคิดวิเคราะห์ นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ในรูปแบบดิจิทัล โดยการเล่าเรื่องดิจิทัล ที่มีความน่าสนใจและมีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างความเข้าใจ โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้มีข้อจำกัดในบางกรณี เช่น ข้อความที่ซับซ้อนหรือไม่ชัดเจนอาจทำให้ภาพที่ได้ไม่ตรงตามความคาดหวัง แม้ว่าจะมีข้อจำกัดบางประการ แต่เทคโนโลยี Text-to-Image ของ เอไอไมโครซอฟท์โคไพลอต ยังมีข้อได้เปรียบในด้านการทำงานคือการผสานเข้ากับผลิตภัณฑ์ของ Microsoft และมีความสามารถในการปรับแต่งภาพให้ตรงกับความต้องการได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ การประยุกต์ใช้เอไอไมโครซอฟท์โคไพลอต ในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกช่วยเพิ่มทักษะความปลอดภัยในโลกไซเบอร์และเตรียมผู้เรียนให้พร้อมรับมือกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและหลากหลาย โดยเน้นการพัฒนาทักษะในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ในรูปแบบที่เป็นมิตรและมีประสิทธิภาพ ผ่านการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการพัฒนาทักษะการรักษาความปลอดภัยและการสร้างสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณค่า เพื่อสร้างความตระหนักรู้และการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ</p> รัตน์ติมา วรรณศิริ, อุทิศ บำรุงชีพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1817 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การดำรงอยู่ของพิธีกรรมชาติพันธุ์ไททรงดำในบริบทการเปลี่ยนแปลงทางสังคม : กรณีศึกษาหมู่บ้านเนินหว้า อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ระหว่างปีพ.ศ. 2540–2560 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2806 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพิธีกรรมชาติพันธุ์ไททรงดำที่ดำรงอยู่ในหมู่บ้านเนินหว้า อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ในบริบทการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ระหว่างปี พ.ศ. 2540–2560 และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพิธีกรรมดังกล่าว กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 5 คน ประกอบด้วย ผู้นำชุมชน ผู้นำในการประกอบพิธีกรรม ตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และตัวแทนคนรุ่นใหม่ในชุมชน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์บอกเล่า (Oral History) และนำเสนอผลการวิจัยด้วยวิธีการพรรณนาวิเคราะห์ (Analytical Description)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2540–2560 พิธีกรรมของชาวไททรงดำบ้านเนินหว้าเผชิญความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เริ่มจากการย้ายถิ่นของแรงงานเข้าเมืองทำให้ขาดผู้สืบทอด ต่อมาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 แรงงานคืนถิ่นแต่มาพร้อมกับวิถีชีวิตแบบเมืองที่ห่างเหินจากความเชื่อเดิม และช่วงปี 2550 เทคโนโลยีและระบบการศึกษาทำให้เยาวชนสนใจกิจกรรมใหม่ อย่างไรก็ตาม พบว่ามี 5 พิธีกรรมสำคัญที่สามารถปรับตัวและดำรงอยู่ได้ ได้แก่ 1) พิธีกรรมเสนเฮือน 2) พิธีปาดตง 3) พิธีกรรมงานศพ 4) พิธีกรรมงานแต่ง และ 5) พิธีกรรมขึ้นบ้านใหม่ โดยมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพิธีกรรม 2 ปัจจัย ได้แก่ 1) ปัจจัยภายใน คือ การปลูกฝังความเชื่อและค่านิยมผ่านระบบเครือญาติ หน้าที่และความรับผิดชอบต่อผีบรรพบุรุษร่วมกัน บทบาทของผู้ประกอบพิธีกรรม และการปรับเปลี่ยนรายละเอียดพิธีกรรมให้เข้ากับยุคสมัย และ 2) ปัจจัยภายนอก คือ การส่งเสริมจากระบบการศึกษาและภาครัฐ อิทธิพลของเทคโนโลยี ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และบทบาทของคนรุ่นใหม่ในการสร้างเครือข่ายเพื่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมไททรงดำ</p> วศิน ปัญญาวุธตระกูล, รุจีรา พานโคกสูง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2806 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 การจัดการความสำเร็จของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านเมืองรวง ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2693 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสำเร็จของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี บ้านเมืองรวง ตำบลแม่กรณ์ โดยใช้หลักการบริหารจัดการ POLC เป็นกรอบแนวคิด และ 2) เปรียบเทียบ ความคิดเห็นระหว่างประชาชน/จุดครัวเรือนเรียนรู้/จุดท่องเที่ยวบ้านเมืองรวง และคณะกรรมการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี/เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนฯ ที่มีต่อระดับความสำเร็จของการจัดการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี บ้านเมืองรวง ตำบลแม่กรณ์ การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 123 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที (T-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความสำเร็จของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี บ้านเมืองรวง ตามหลักการบริหารจัดการ POLC โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะด้านการนำ มีความสำเร็จสูงที่สุด รองลงมาได้แก่ด้านควบคุม ด้านการจัดการองค์กร และด้านการวางแผน ตามลำดับ 2) ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างแต่ละกลุ่ม แสดงให้เห็นว่าทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนที่มีความเกี่ยวข้องกับชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านเมืองรวง ต่างมีการรับรู้และเข้าใจทิศทางการพัฒนาไปในแนวทางเดียวกัน อีกทั้งพบว่าเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญต่อการสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ และการบริหารจัดการภายในชุมชน ฉะนั้นแล้วภาครัฐและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องควรสนับสนุนการเสริมสร้างศักยภาพภาวะผู้นำในระดับชุมชน การพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ การท่องเที่ยวในระยะยาว และอบรมพัฒนาการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้เกิดความยั่งยืน</p> รุ่งนภา ถาคำติ๊บ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2693 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 บทบาทและพัฒนาการของวงกลองยาว กรณีศึกษา : หมู่บ้านเนินหว้า ตำบลกง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ระหว่างปีพ.ศ. 2548–2568 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2816 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพัฒนาการและบทบาทของวงกลองยาวในอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ระหว่าง พ.ศ. 2548-2568 และ 2) วิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการดำรงอยู่ของศิลปะพื้นบ้านนี้ การวิจัยนี้ใช้แนวทางประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถิ่น โดยมีระเบียบวิธีทางประวัติศาสตร์บอกเล่า (Oral History) ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 5 คน ซึ่งเป็นผู้นำชุมชนและสมาชิกวงกลองยาวในตำบลเนินหว้า ผลการศึกษาพบว่า การดำรงอยู่ของวงกลองยาวสะท้อนถึงกลไกการปรับตัวทางวัฒนธรรมเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไททรงดำ เพื่อรักษาการปฏิบัติพิธีกรรมหลักท่ามกลางแรงกดดันทางสังคม และผลการศึกษาพบว่า การดำรงอยู่ของวงกลองยาวสะท้อนถึงกลไกการปรับตัวทางวัฒนธรรมเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไททรงดำ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดนิเวศวิทยาวัฒนธรรม (Cultural Ecology) ที่ชุมชนได้ปรับเปลี่ยนวิถีปฏิบัติ เพื่อรักษาพิธีกรรมหลักท่ามกลางแรงกดดันทางสังคมและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังพบการสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมใหม่เพื่อรองรับการท่องเที่ยว โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อความยั่งยืน ได้แก่ ความเข้มแข็งของเครือข่ายเครือญาติ การสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการปรับประยุกต์รูปแบบการแสดงให้สอดคล้องกับรสนิยมร่วมสมัย สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตและความยืดหยุ่นของศิลปะพื้นบ้าน ที่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยการเจรจาต่อรองระหว่างจารีตประเพณีกับบริบทสังคมร่วมสมัย นอกจากนี้ ยังพบการสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมใหม่เพื่อรองรับการท่องเที่ยว พัฒนาการของวงกลองยาวแบ่งออกเป็นสามระยะหลัก: ระยะแรก (พ.ศ. 2548-2555) เน้นการแสดงพิธีกรรมดั้งเดิม โดยใช้วัสดุท้องถิ่น เช่น ไม้ขนุนและหนังวัว ระยะกลาง (พ.ศ. 2556-2562) เป็นการปรับสู่รูปแบบประยุกต์เพื่อการแข่งขันระดับจังหวัด โดยมีการเพิ่มเครื่องดนตรีร่วมสมัยและรับอิทธิพลทางดนตรีจากภายนอก ระยะหลัง (พ.ศ. 2563-2568) เป็นยุคของการฟื้นฟูเชิงฟังก์ชันในท้องถิ่น (ตั้งวงใหม่ พ.ศ. 2563) โดยมีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการลดค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าภาพงานบุญ การกำหนดราคาค่าบริการที่เข้าถึงได้ (3,000 - 4,000 บาท) ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจวัฒนธรรม บทบาทของกลองยาวยังขยายสู่การส่งเสริมสุขภาวะและความสามัคคีในชุมชน ผ่านการใช้สื่อดิจิทัลเพื่อเข้าถึงเยาวชน วงกลองยาวยังคงเผชิญความท้าทายสำคัญด้านการขาดแคลนผู้สืบทอด และวัตถุดิบหลักในการผลิต (หนังวัว) ซึ่งคุกคามอัตลักษณ์ทางดุริยางคศิลป์ดั้งเดิม งานวิจัยนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงพลวัตและความยืดหยุ่นของศิลปะพื้นบ้าน ที่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยการเจรจาต่อรอง ระหว่างจารีตประเพณีกับบริบทสังคมร่วมสมัย ที่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยการเจรจาต่อรองระหว่างจารีตประเพณีกับบริบทสังคมร่วมสมัย เป็นแนวทางสำคัญในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน</p> วศิน ปัญญาวุธตระกูล, ณัฐณิชา สุขเมือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2816 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความสำเร็จของการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินในการแก้ไขปัญหายาเสพติด : กรณีศึกษา บ้านยอด จังหวัดน่าน https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2710 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการขับเคลื่อนของกองทุนแม่ของแผ่นดินบ้านยอด หมู่ที่ 2 ตำบลยอด อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด 2) เพื่อศึกษาองค์ประกอบที่ส่งผลต่อการดำเนินการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด 3) เพื่อขยายผลรูปแบบการดำเนินงานของกองทุนแม่ของแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพและสามารถเป็นต้นแบบให้แก่พื้นที่อื่นเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยกำหนดประชากรออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือ สมาชิกกองทุนแม่ของแผ่นดินบ้านยอด จำนวน 112 ครัวเรือน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (µ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ) และกลุ่มที่ 2 คือ ผู้ขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินบ้านยอด จำนวน 32 คน โดยกำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า (1) กระบวนการขับเคลื่อนกองทุนแม่ของแผ่นดินบ้านยอด หมู่ที่ 2 ตำบลยอด อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน อยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.64, σ = 0.30) เป็นไปอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทั้ง 10 ขั้นตอนของกองทุนแม่ของแผ่นดิน (2) องค์ประกอบของกองทุนแม่ของแผ่นดินบ้านยอด หมู่ที่ 2 ตำบลยอด อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน อยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.71, σ = 0.36) ปัจจัยแห่งความสำเร็จของบ้านยอดเกิดจากการบูรณาการทุนทั้งสามด้าน และ (3) แนวทางการขยายผลรูปแบบการดำเนินงานของกองทุนแม่ของแผ่นดินให้มีประสิทธิภาพและสามารถเป็นต้นแบบให้แก่พื้นที่อื่น ได้แก่ การพัฒนาศูนย์เรียนรู้กองทุนแม่ของแผ่นดิน ให้เป็นต้นแบบและศูนย์กลางเครือข่าย เชื่อมโยงกับหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินในอำเภอ จังหวัด โดยยังคงยึดการขับเคลื่อนการดำเนินงานกองทุนแม่ของแผ่นดินให้เกิดความยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ภายใต้เงื่อนไข 5 ก. สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ ส่งเสริมบทบาทของเยาวชนและสถาบันครอบครัว และบูรณาการการทำงานกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่</p> <p> องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของกองทุนแม่ของแผ่นดินในพื้นที่อื่น ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ</p> จักริน ทิพย์ประเสริฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2710 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 มุมมองของครูต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ฐานชุมชนและโครงงานดิจิทัลเพื่อส่งเสริมสมรรถนะ นวัตกรดิจิทัลของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดสกลนคร https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2863 <p> บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษามุมมองและประสบการณ์ของครูต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ฐานชุมชนและโครงงานดิจิทัล วิเคราะห์ปัจจัยสนับสนุนและอุปสรรค และเสนอแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดสกลนคร ในยุคดิจิทัลที่การเรียนรู้ต้องเชื่อมโยงกับชีวิตจริงและชุมชน การจัดการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมที่ใช้ฐานชุมชนร่วมกับโครงงานดิจิทัลจึงมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะนวัตกรดิจิทัล สามารถคิดอย่างสร้างสรรค์ แก้ปัญหาเชิงระบบ และพัฒนานวัตกรรมที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมได้อย่างแท้จริง ผู้เขียนนำเสนอ (1) แนวคิดและความสำคัญของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ฐานชุมชนและโครงงานดิจิทัล (2) มุมมองและประสบการณ์ของครูผู้สอนต่อการจัดการเรียนรู้ในบริบทโรงเรียนมัธยมศึกษา (3) ปัจจัยสนับสนุนและอุปสรรคที่มีผลต่อการดำเนินการ (4) ผลการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้ และ (5) แนวทางการประยุกต์ใช้ผลการวิจัยเพื่อพัฒนานโยบายและการปฏิบัติในระดับสถานศึกษาและชุมชน การวิจัยใช้ระเบียบวิธีเชิงคุณภาพกับครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในจังหวัดสกลนคร จำนวน 12 คน โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) เป็นกลไกสำคัญ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบสังเกตการสอน และแบบวิเคราะห์เอกสาร ผลการวิจัยพบว่า ครูให้ความสำคัญกับการออกแบบการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงชุมชนกับโครงงานดิจิทัล ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.52) และใช้ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ที่เป็นระบบ เน้นการประเมินตามสมรรถนะและผลงานจริง ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.67) ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือความกระตือรือร้นของนักเรียน (ร้อยละ 100) และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านกระบวนการ PLC (ร้อยละ 91.67) ขณะที่อุปสรรคหลักคือข้อจำกัดด้านเวลา (ร้อยละ 91.67) แนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการฐานชุมชนกับโครงงานดิจิทัล (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.73) ด้านเนื้อหาและกิจกรรมที่ใช้โจทย์ปัญหาจริงจากชุมชน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.68) ด้านสื่อและเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์หลากหลาย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.82) และด้านการวัดและประเมินผลที่เน้นสมรรถนะและผลงานจริง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.77) องค์ความรู้จากบทความนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนานโยบายการศึกษา การวางแผนพัฒนาครูและสถานศึกษา ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนสู่การเป็นนวัตกรดิจิทัลที่มีสมรรถนะสูงในศตวรรษที่ 21</p> เมฆา ดีสงคราม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2863 Sun, 07 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความนิยมทางการเมืองต่อพรรคพลังประชารัฐ : กรณีศึกษานิสิตปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2778 <p> บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษา 1) ระดับความนิยมทางการเมืองของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามระดับปริญญาตรีที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐ และ 2) ความแตกต่างของความนิยมทางการเมืองของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามระดับปริญญาตรีที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐที่มีความแตกต่างทางด้านเพศ อายุ ชั้นปี และรายได้ 3)ข้อเสนอแนะต่อการส่วนร่วมทางการเมืองของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามระดับปริญญาตรี โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวน 397 ชุด เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ One-way ANOVA ผลการศึกษาพบว่าระดับความนิยมทางการเมืองของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามระดับปริญญาตรีที่มีต่อพรรคพลังประชารัฐภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.00) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือด้านการติดตามข่าวการเมือง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.99) รองลงมา คือ ด้านการมีส่วนร่วม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.55) ต่อมา คือ ด้านอุดมการณ์และวิสัยทัศน์ทางการเมือง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=2.23) และสุดท้าย คือ ด้านตัวพรรคการเมือง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=2.14) ผลการวิเคราะห์สถิติ One-way ANOVA พบว่า ปัจจัยด้านเพศและรายได้แตกต่างกันมีความนิยมต่อพรรคประชารัฐต่างกัน ส่วนปัจจัยด้านอายุและชั้นปีแตกต่างกันมีความนิยมต่อพรรคประชารัฐไม่แตกต่าง โดยมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ข้อเสนอแนะได้แก่ มหาวิทยาลัยควรจัดกิจกรรมเสริมความรู้การเมืองและการเลือกตั้ง เพื่อพัฒนาเยาวชนเป็นพลเมืองประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ พรรคการเมืองควรใช้สื่อออนไลน์สื่อสารนโยบายอย่างโปร่งใส เข้าถึงง่าย และเน้นสื่อสารวิสัยทัศน์ จุดยืนให้ชัดเจนต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากเยาวชนฐานเสียงสำคัญในอนาคต</p> <p> </p> ชูเกียรติ ทุมเพ็ง, จักรกฤษณ์ แสนพวง, วรวุฒิ จำลองนาค ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2778 Tue, 16 Dec 2025 00:00:00 +0700