https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/issue/feed วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ 2024-12-17T00:00:00+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ศรีพันธ์ journal.ssa.review@gmail.com Open Journal Systems <p> </p> <p><strong> </strong></p> https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1100 Smart Disabled People สร้างสุขให้ผู้พิการด้วยโลกเสมือนจริง 2024-11-08T19:26:49+07:00 ธนวิชญ์ กิจเดช thanawitkitdet@gmail.com จุฑามาศ รัตนา Thanawitkitdet@gmail.com พระรัตนมุนี (ปุณณมี วิสารโท) Thanawitkitdet@gmail.com <p> <span style="font-size: 0.875rem;">คนพิการในสังคมไทยมีจำนวนที่มากขึ้นแต่กลับไม่มีการพัฒนานวัตกรรม ที่ใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาระบบบริการ จึงก่อให้เกิดปัญหาซึ่งมีขอบเขตและผลกระทบ ดังนี้ 1) ผลกระทบต่อตัวคนพิการเนื่องจากปัญหาที่เกิดจากความพิการจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนพิการทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต 2) ผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่คนดูแล ที่ต้องรับภาระงานการดูแลคนพิการที่เกินขีดความสามารถ จนส่งกระทบทั้งต่อร่างกายและจิตใจ เพราะการดูแลคนพิการ 1 คนต้องใช้คนเงินของและเวลา 3) ชุมชนและสังคมจะต้องรับภาระการดูแลคนพิการที่ถูกทอดทิ้งเพิ่มสูงขึ้น 4) ประเทศจะสูญเสียงบประมาณและกำลังคนในการดูแล คนพิการเพิ่มมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศแบบองค์รวม</span></p> <p> จึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาคนพิการด้วยเทคโนโลยีเพื่อคนพิการ ให้สามารถเข้าถึงความพร้อมในการมีระบบและอุปกรณ์มารองรับ มีห้อง Metaverse E-Learning Room ให้คนพิการได้มีประสบการณ์สามารถพูดคุยกับผู้อื่นได้โดยไม่ต้องเดินทางในห้องดำเนินกิจกรรม ดังนี้ 1) ไว้พบปะกับเจ้าหน้าที่หรือคุณหมอ (คุณหมอเข้ามาตรวจผ่านระบบทุกเดือน) 2) สามารถเปิดกล้องเพื่อพูดคุยและเห็นหน้ากันได้ 3) สามารถจัดกิจกรรมเพื่อให้ขยับร่างกาย และกิจกรรมบำบัดที่สร้างสุขภาพจิตที่ดี 4) ไว้สำหรับให้ผู้มาเยี่ยมได้พูดคุยกับคนพิการ (เช่นระบบการเยี่ยมให้กำลังใจจากเด็กนักเรียนผ่านแว่นVR) 5) สร้างบรรยายกาศของสถานที่ให้เหมือนจริงได้ตามความต้องการ 6) ข้ามข้อจำกัดเรื่องขาดแคลนบุคลากร 7) สามารถใช้ได้กับอุปกรณ์แว่น VR และคอมพิวเตอร์ 8) เป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กร</p> 2024-12-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1062 บทบาทของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในการพัฒนาเด็กปฐมวัยของชาติให้ยั่งยืน 2024-11-29T11:14:32+07:00 ปัณน์ณัช พิชญพิมลมาศ pipannach@gmail.com มัทนา วังถนอมศักดิ์ pipannach@gmail.com <p> การพัฒนาเด็กปฐมวัยของประเทศไทยเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ให้ผลของการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดต่อการสร้างรากฐานของชีวิต ที่ผ่านมามีการดำเนินงานเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันหลายภาคส่วน เนื่องจากเด็กปฐมวัยเป็นวัยที่เริ่มต้นตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา จนถึงอายุ 6 ปีบริบูรณ์ หรือก่อนเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จึงทำให้มีหลายหน่วยงานที่ร่วมจัดบริการพัฒนาเด็กปฐมวัยทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รัฐบาลพยายามระดมทรัพยากรและการลงทุนเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้การพัฒนาเด็กปฐมวัยดำเนินการได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ขาดการบูรณาการ ขาดความต่อเนื่องและไม่ยั่งยืน ทั้งยังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงจำเป็นที่ต้องมีหน่วยงานกลาง คือ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนและบูรณาการการพัฒนาเด็กปฐมวัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยผู้เขียนได้เรียบเรียงขึ้นจากการศึกษาค้นคว้า และรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร หลักฐานต่าง ๆ โดยทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อเน้นให้เห็นถึงบาทบาทที่สำคัญของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในการพัฒนาเด็กปฐมวัยของชาติให้มีความยั่งยืน ทั้งในด้านนโยบาย ด้านกลไกและระบบประสานงานในระดับจังหวัด ด้านงบประมาณ ด้านองค์ความรู้รวมถึงการให้บริการข้อมูล และด้านระบบฐานข้อมูลสารสนเทศด้านเด็กปฐมวัยให้มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม บรรลุเป้าหมายการพัฒนาเด็กปฐมวัยของทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างสูงสุด และกลายเป็นการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีความยั่งยืนอย่างแท้จริง</p> 2024-12-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1154 ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ความท้าทายและการปรับตัวสู่ความเท่าเทียม 2024-12-02T15:55:35+07:00 ฉัฐวัฒน์ ชัชณฐาภัฏฐ์ chattawat.sh@western.ac.th <p> บทความวิชาการนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยผ่านการบูรณาการแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง อาทิ ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ ทฤษฎีความขัดแย้ง ทฤษฎีทุนมนุษย์ แนวคิดความยุติธรรมทางสังคม และทฤษฎีทุนสังคม เพื่อนำเสนอกรอบการวิเคราะห์เชิงลึกในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างทางสังคม บทบาทของรัฐ ทุนมนุษย์ และทุนสังคม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ การศึกษา และการเข้าถึงทรัพยากรในพื้นที่ชนบทและเมืองใหญ่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การกระจายทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมและการขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะและคุณภาพชีวิต นอกจากนี้ การวิเคราะห์บทบาทของรัฐและการกระจายอำนาจยังชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดในการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างกลุ่มประชากรในแต่ละพื้นที่ บทความวิชาการนี้เสนอแนวทางเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขความเหลื่อมล้ำ ได้แก่ การกระจายทรัพยากรอย่างยุติธรรม การพัฒนาระบบสวัสดิการที่ครอบคลุม การส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมที่เข้าถึงได้ในทุกพื้นที่ และการสร้างเครือข่ายทางสังคมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาชุมชน นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการกำหนดนโยบายและการพัฒนาทุนมนุษย์และทุนสังคมในระดับท้องถิ่นยังเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างยั่งยืน การถ่ายทอดองค์ความรู้และขยายผลสามารถดำเนินการผ่านการเผยแพร่ในงานวิชาการ การประชุม หรือการใช้เครื่องมือเชิงภาพ เช่น กราฟและแผนภาพ เพื่อสื่อสารความซับซ้อนของปัญหาและแนวทางแก้ไขไปยังวงกว้าง ทั้งนี้ ผลการศึกษานี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และผู้ปฏิบัติงานในภาคสังคมที่เกี่ยวข้องกับการลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในบริบทของสังคมไทยที่ต้องการแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพในระยะยาว</p> 2024-12-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1070 ทฤษฎี PERMA: กุญแจสู่องค์กรแห่งความสุข 2024-11-23T06:35:31+07:00 ฐณัฏฐ์ อัฑฒ์ทิวัตถ์ธนา aump.thanat@gmail.com <p> ทฤษฎี PERMA ที่พัฒนาโดย Martin Seligman เป็นกรอบแนวคิดสำคัญในการเสริมสร้างความสุขและความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตและการทำงาน ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ อารมณ์เชิงบวก การมีส่วนร่วม ความสัมพันธ์ ความหมาย และความสำเร็จ การประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้ในบริบทองค์กรสามารถส่งผลเชิงบวกต่อความผูกพันของพนักงาน ประสิทธิภาพการทำงาน และวัฒนธรรมองค์กร บทความวิชาการนี้ผู้เขียนจะนำเสนอ 1) ความเป็นมาและความสำคัญของทฤษฎี PERMA โดยอธิบายถึงรากฐานและการพัฒนาของทฤษฎี รวมถึงความสำคัญในบริบทองค์กร 2) การวิเคราะห์องค์ประกอบทั้ง 5 ด้านของ PERMA ในบริบทองค์กร โดยเชื่อมโยงกับแนวคิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น แนวคิด Flow ของ Csikszentmihalyi และการมีส่วนร่วมในงานของ Kahn 3) ผลการศึกษาวิจัยล่าสุด เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ PERMA ในองค์กร โดยนำเสนอข้อค้นพบสำคัญและแนวโน้มการวิจัยในปัจจุบัน 4) การวิเคราะห์องค์ประกอบของ PERMA ในบริบทองค์กร โดยเชื่อมโยงกับแนวคิดอื่นที่เกี่ยวข้อง และ 5) แนวทางการนำ PERMA ไปใช้ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการสร้างองค์กรแห่งความสุข รวมถึงข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติสำหรับการประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้ในบริบทองค์กร องค์ความรู้จากบทความนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารและนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในการนำแนวคิด PERMA ไปประยุกต์ใช้เพื่อเสริมสร้างความสุขและประสิทธิภาพในองค์กร โดยนำเสนอมุมมองที่ครอบคลุมทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติ พร้อมทั้งข้อมูลวิจัยล่าสุดที่สนับสนุนประสิทธิผลของการใช้ PERMA ในการพัฒนาองค์กร</p> 2024-12-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1080 การออกแบบอินโฟกราฟิกตามทฤษฎีประมวลสารสนเทศ 2024-11-20T11:33:51+07:00 วิลาวรรณ ผิวพรรณ wilawun.pi@ku.th บุญรัตน์ แผลงศร fedubrp@ku.ac.th <p> ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลถูกถ่ายทอดอย่างรวดเร็ว การนำเสนอสารสนเทศในรูปแบบอินโฟกราฟิกจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดความซับซ้อนของข้อมูลให้เข้าใจง่ายและดึงดูดความสนใจของผู้เรียนการออกแบบอินโฟกราฟิกตามทฤษฎีการประมวลสารสนเทศมีบทบาทสำคัญในการทำให้ข้อมูลถูกนำเสนออย่างมีระบบและเข้าใจง่าย กระบวนการออกแบบที่สอดคล้องกับทฤษฎีนี้เน้นการประมวลสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพผ่านการจัดลำดับข้อมูล การใช้สีและสัญลักษณ์ที่ดึงดูดสายตา และการนำเสนอข้อมูลที่กระชับและน่าจดจำโดยทฤษฎีนี้เน้นกระบวนการรับรู้ ความจำ และการเรียกคืนข้อมูลซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักในการออกแบบอินโฟกราฟิกให้มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการเรียนรู้ การออกแบบตามทฤษฎีนี้ช่วยลดภาระทางความคิด ทำให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาได้ดีขึ้น บทความนี้มุ่งเน้น การออกแบบอินโฟกราฟิกที่เพิ่มประสิทธิภาพ การเรียนรู้ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล วางแผนการสื่อสาร ปรับแต่งเพื่อสร้างสื่อที่ตรงตามกระบวนการรับรู้และความจำของผู้เรียน</p> 2024-12-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1261 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้ละครภัย (ใต้) จิตสำนึก เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างสัมพันธภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยทักษิณ ฝ่ายมัธยม 2024-11-28T20:00:27+07:00 ณัศรุฒน์ หลีหนุด 651997099@tsu.ac.th <p> </p> <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้ละครภัย (ใต้) จิตสำนึก เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างสัมพันธภาพ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้ละครภัย (ใต้) จิตสำนึก เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างสัมพันธภาพ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ได้ศึกษาแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก ละครสร้างสรรค์ และทักษะการสร้างสัมพันธภาพ เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 3 ห้องเรียน จำนวน 87 คน ใช้วิธีคัดเลือกโดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้ละครภัย (ใต้) จิตสำนึก 2) แบบประเมินทักษะการสร้างสัมพันธภาพและการประเมินทักษะการสร้างสัมพันธภาพ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้ละครภัย (ใต้) จิตสำนึก เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างสัมพันธภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบซี (Z-test) ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ทักษะการสร้างสัมพันธภาพ โดยใช้ละครภัย (ใต้) จิตสำนึก หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้ละครภัย (ใต้) จิตสำนึก เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างสัมพันธภาพ อยู่ในระดับดีมากที่สุด</li> </ol> <p> องค์ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อครูผู้สอนที่สนในในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกที่มีต่อกระบวนการทำงานกลุ่ม โดยใช้กิจกรรมชั้นเรียนในรูปแบบละคร เพื่อสร้างสรรค์ผลงานละครภัย(ใต้) จิตสำนึกของห้องเรียนบนฐานปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์และมีความสุข</p> 2024-12-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1059 การส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัลในเด็กปฐมวัยโดยมีผู้ปกครองเป็นสื่อกลางในการใช้ ชุดกิจกรรม “เล่นกับลูกฝึกการคิด” สำหรับศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน จังหวัดกำแพงเพชร 2024-11-06T13:33:03+07:00 อรรฏชณม์ สัจจะพัฒนกุล apaichon.s@psru.ac.th อัฐณีญา สัจจะพัฒนกุล apaichon.s@psru.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของผู้ปกครองในการส่งเสริมความฉลาดรู้ทางดิจิทัลของเด็กปฐมวัยโดยใช้ชุดกิจกรรม “เล่นกับลูกฝึกการคิด” ใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุตรหลาน 2) ด้านการจัดนิเวศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการพัฒนาความฉลาดรู้ทางดิจิทัลให้กับบุตร และ 3) ด้านการสนับสนุนการเล่นเพื่อส่งเสริมการคิด กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ปกครองของเด็กชั้นอนุบาล ปีที่ 2 และ 3 จำนวน 30 คน ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนบ้านพรานกระต่าย อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ผลการวิจัยพบว่า ผู้ปกครองสามารถนำชุดกิจกรรม “เล่นกับลูกฝึกการคิด” ไปใช้ส่งเสริมความฉลาดรู้ทางดิจิทัลให้กับบุตรหลานได้ โดยชุดกิจกรรม“เล่นกับลูกฝึกการคิด” ประกอบไปด้วย 6 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมวงล้ออารมณ์, กิจกรรมสิทธิของหนู, กิจกรรมศิลปะจิ้มจุ่ม, กิจกรรมเขาวงกต, กิจกรรมบ้านจำลอง และกิจกรรม Food for Pet กิจกรรมทั้งหมดเป็นเครื่องมือในการช่วยส่งเสริมให้ผู้ปกครอง มีแนวทางในการส่งเสริมความฉลาดรู้ทางดิจิทัลผ่านการเล่นอย่างสร้างสรรค์ ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ภายในบ้าน และสร้างเวลาคุณภาพระหว่างบุตรหลานกับผู้ปกครองในครอบครัว<strong> </strong></p> <p> </p> 2024-12-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1104 การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้บูรณาการสื่อมัลติมีเดีย เพื่อส่งเสริม การคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ รายวิชาสังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2024-12-04T20:09:30+07:00 สรายุธ รัศมี sarayoot.r@kkumail.com <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ ร่วมกับสื่อมัลติมีเดีย รายวิชาสังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) ส่งเสริมการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ 3) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบการเรียนรู้บูรณาการสื่อมัลติมีเดีย เป็นการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 30 คน ใช้วิธีคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 6 ชนิด คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ปัญหาทางสังคม 2) แบบสังเกตการจัดการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน 4) แบบประเมินการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน 5) แบบประเมินกิจกรรมกลุ่มสำหรับประเมินการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ และ 6) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทีแบบไม่อิสระ (t-test) และการบรรยายเชิงพรรณา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้มี 5 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ หลักการออกแบบ วัตถุประสงค์ ขั้นตอน การวัดและประเมินผลและปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้ 2) นักเรียนร้อยละ 73.33 สามารถพัฒนาการคิดแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ผ่านกิจกรรมกลุ่ม มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 74.81 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.62 สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษาในโลกยุคใหม่เป็นการเรียนรู้ที่ต้องประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อทำให้ผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์ในบริบทที่หลากหลาย เกิดการสร้างสรรค์ทางความคิด ส่งเสริมให้สามารถวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาเชิงลึกได้อย่างมีเหตุผล นำไปสู่การพัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 อย่างมีประสิทธิภาพและเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ในชีวิตจริง</p> 2024-12-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1176 การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน เพื่อพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติงานการทำกาแฟด้วย โมก้าพอท โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสาธิตร่วมกับทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เรื่อง การจำลองอาชีพ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2024-11-21T11:06:07+07:00 พีรเดช บุญรอด peeradech88@gmail.com <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติการทำกาแฟด้วยโมก้าพอท โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสาธิตร่วมกับทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (Action Research) จำนวน 3 วงจร ทุกวงจรได้ดำเนินงานตามขั้นตอน PAOR ซึ่งคือ Plan, Action, Observe และ Reflect กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวังน้ำคู้ศึกษา จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 2 ชนิด คือ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ 2. แบบประเมินความสามารถในการปฏิบัติงาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ การวิเคราะเนื้อหา ค่าเฉลี่ยและค่าร้อยละ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ในวงจรที่ 1 มีนักเรียนผ่านเกณฑ์จำนวน 3 คน และไม่ผ่านเกณฑ์ 6 คน โดยมีผลคะแนนการประเมินในภาพรวมคิดเป็นร้อยละ 61.37 ซึ่งยังไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยผู้วิจัยได้นำสภาพปัญหามาหาแนวทางแก้ไข และปรับปรุงการสอนในวงจรที่ 2 ซึ่งผลการวิจัยพบว่า มีนักเรียนผ่านเกณฑ์จำนวน 6 คน และที่ไม่ผ่านเกณฑ์ 3 คน โดยมีผลคะแนนการประเมินในภาพรวมคิดเป็นร้อยละ 68.28 ซึ่งยังไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ในวงจรที่ 3 ซึ่งผลการวิจัยพบว่า นักเรียนทั้ง 9 คน ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด โดยมีคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมคิดเป็นร้อยละ 77.81 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด</p> 2024-12-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1224 การมีส่วนร่วมในการส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจในหมู่บ้านป่าคู้ล่าง จังหวัดกาญจนบุรี 2024-12-07T13:05:22+07:00 สิริภัทรสร ศรีดีเอี่ยม siriphathrsrsridixeiym@gmail.com ธิดารัตน์ แก้วเมฆ 65122080314@kru.ac.th นวพนธ์ นุ่มน้อย 65122080314@kru.ac.th ภูมิพัฒน์ ตีระวัฒนานนท์ 65122080314@kru.ac.th ณัฐพัชร์ ชะอุ่ม 65122080314@kru.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาสภาพเศรษฐกิจและการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนป่าคู้ล่าง อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี การเก็บข้อมูลดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่าง 140 คน โดยใช้แบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาและเชิงอนุมาน ผลการวิจัยพบว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนในแต่ละขั้นตอนของการพัฒนาเศรษฐกิจอยู่ในระดับปานกลาง โดยเฉพาะในขั้นวางแผนที่ควรเน้นการพัฒนาความรู้และทักษะของประชาชนเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังพบปัญหาในพื้นที่ เช่น ความไม่แน่นอนของราคาสินค้าเกษตร และการขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาของชุมชน การวิจัยเสนอให้มีการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการส่งเสริมเครือข่ายความร่วมมือภายในชุมชนเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน</p> <p> </p> <p><strong> </strong></p> 2024-12-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์