https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/issue/feed วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ 2025-10-31T08:53:02+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ศรีพันธ์ journal.ssa.review@gmail.com Open Journal Systems <p><strong><span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">ISSN 3057-076X</span> <span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">(Online)</span></strong></p> <p><strong> </strong></p> https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2568 การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นเพื่อป้องกันการหลุดออกจากระบบ ของนักเรียนกลุ่มเสี่ยง : กรณีศึกษาโมเดล 5D โรงเรียนบ้านนาโก 2025-10-10T11:11:41+07:00 ฐพัชร์ โคตะ khota.thaphat@gmail.com เทิดทูน ปรือปรัง Khota.thaphat@gmail.com ประธาน พิศงาม Khota.thaphat@gmail.com มนัสรี ฤทธิเดช Khota.thaphat@gmail.com นิลรัตน์ โคตะ Khota.thaphat@gmail.com <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น 5D เพื่อช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา และ 2) ศึกษาผลการใช้รูปแบบดังกล่าวในบริบทโรงเรียนขยายโอกาสในพื้นที่ชนบท การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) กลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนกลุ่มเสี่ยงต่อการหลุดออกจากระบบการศึกษาโรงเรียนบ้านนาโก จังหวัดเลย ซึ่งการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนานวัตกรรมคือกระบวนการ 5 ขั้นตอนของโมเดล 5D (Discover, Design, Do, Discuss, Develop) และเครื่องมือรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแนวคำถามสำหรับการประชุมสะท้อนผล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น 5D ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนสำคัญ คือ 1) การค้นหาตัวตนและศักยภาพ (Discover) 2) การร่วมออกแบบเส้นทางการเรียนรู้เฉพาะบุคคล (Design) 3) การลงมือปฏิบัติผ่านกิจกรรมและโครงงานฐานชีวิตจริง (Do) 4) การตรวจสอบและสะท้อนผลร่วมกัน (Discuss) และ 5) การพัฒนาและต่อยอดสู่โอกาสใหม่ (Develop) ผลการใช้รูปแบบซึ่งประเมินจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพผ่านแบบสังเกตพฤติกรรมและการสัมภาษณ์ พบว่า นักเรียนกลุ่มเสี่ยงมีแรงจูงใจในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น มีความผูกพันกับโรงเรียนมากขึ้น และ อัตราการเสี่ยงหลุดออกจากระบบลดลงอย่างเห็นได้ชัด</p> 2025-10-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2325 การศึกษาแนวทางการจัดการเรียนการสอนรายวิชาเรียนรู้ร่วมกันสรรค์สร้างสังคม ในหมวดวิชาศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัยพะเยา 2025-10-13T18:11:35+07:00 ณัฐพงษ์ พรมวงษ์ nattapong.pr@up.ac.th ศิรินทิพย์ หมั่นงาน nattapong.pr@up.ac.th เกศณีย์ งามจิตต์ nattapong.pr@up.ac.th ศรุตา ไชยชนะ nattapong.pr@up.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาเรียนรู้ร่วมกันสรรค์สร้างสังคมในหมวดวิชาศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัยพะเยา และ 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการจัดการเรียนการสอนรายวิชาเรียนรู้ร่วมกันสรรค์สร้างสังคมในหมวดวิชาศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายเป็นนิสิตชั้นปีที่ 2 (นิสิตรหัส 66) ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาเรียนรู้ร่วมกันสรรค์สร้างสังคม ภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา 2567 จำนวน 570 คน โดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามปลายเปิด และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาและความต้องการในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาเรียนรู้ร่วมกันสรรค์สร้างสังคม</p> <ol> <li>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ที่ 1 พบว่า สภาพปัจจุบันและความต้องการในการจัดการเรียน การสอนรายวิชาเรียนรู้ร่วมกันสรรค์สร้างสังคมในหมวดวิชาศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัยพะเยา ประกอบด้วย 1) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 2) ความชัดเจนของรายวิชา 3) ความกังวลเกี่ยวกับภาระงาน 4) การลงพื้นที่ชุมชน และ 5) การมีส่วนร่วมของนิสิต</li> <li>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ที่ 2 พบว่า แนวทางการจัดการเรียนการสอนรายวิชาเรียนรู้ร่วมกันสรรค์สร้างสังคมในหมวดวิชาศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัยพะเยา ประกอบด้วย 1) การจัดการศึกษาแบบมุ่งผลลัพธ์ (Outcome-Based Education) 2) การบูรณาการการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) 3) การเสริมสร้างบทบาทของอาจารย์ในฐานะผู้อำนวยการเรียนรู้ (Learning Facilitator) 4) การประเมินผลแบบองค์รวม (Holistic Assessment) และ 5) การออกแบบทางเลือกในการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น (Flexible Learning Design)</li> </ol> <p> </p> 2025-10-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2472 การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำลูกประคบสมุนไพร : กรณีศึกษาชมรมผู้สูงอายุตำบลเจริญเมือง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย 2025-10-10T11:12:16+07:00 ดารณี พรมแดน 668970208@crru.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการทำลูกประคบสมุนไพร ตำบลเจริญเมือง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย และ 2) เสนอแนวทางการต่อยอดการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นดังกล่าว กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 15 คน ประกอบด้วย สมาชิกชมรมผู้สูงอายุและปราชญ์ชาวบ้าน 10 คน และผู้บริหารท้องถิ่น ผู้แทนชุมชน และผู้รับผิดชอบชมรมผู้สูงอายุ 5 คน การเก็บข้อมูลใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกต และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการทำลูกประคบสมุนไพรมี 4 กระบวนการสำคัญ ได้แก่ <strong> </strong>1) การแสวงหาความรู้ โดยชมรมผู้สูงอายุตำบลเจริญเมืองได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากองค์การบริหารส่วนตำบล <strong> </strong>2) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการและการเผยแพร่ความรู้หลายช่องทาง 3) การจัดเก็บความรู้ จากหมอยาพื้นบ้านและตำรับยา พัฒนาเป็นฐานข้อมูล เอกสารเผยแพร่ และสวนสมุนไพร และ <strong> </strong>4) การถ่ายทอดความรู้ โดยปราชญ์ชาวบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ่ายทอดสู่ผู้สูงอายุจนสามารถผลิตลูกประคบได้เองเพื่อสร้างอาชีพและขยายผลสู่เครือข่ายชุมชนแนวทางการต่อยอดการจัดการความรู้ ได้แก่ 1) การส่งเสริมการแปรรูปลูกประคบสมุนไพร โดยพัฒนาความรู้ด้านวัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ และการตลาด <strong> </strong>2) การพัฒนาระบบอบแห้งสมุนไพรด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น โรงอบควบคุมอุณหภูมิและพลังงานแสงอาทิตย์ 3) การสร้างความร่วมมือกับภาครัฐและสถาบันการศึกษาเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีที่เหมาะสมแก่ชุมชน และ 4) การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัย ดึงดูดใจผู้บริโภค ใช้งานซ้ำได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน</p> <p><strong> </strong></p> 2025-10-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2412 ความท้าทายของความท้าทายของภาครัฐในการขับเคลื่อน การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพในจังหวัดภูเก็ต 2025-10-10T11:11:26+07:00 เอกชัย ชำนินา ekachai.cham@hotmail.com <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการณ์และแนวโน้มของการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพในจังหวัดภูเก็ต 2) วิเคราะห์ความท้าทายของความท้าทายของภาครัฐในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และ 3) เสนอแนวทางในการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ของความท้าทายของภาครัฐเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพอย่างยั่งยืน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Interview) กับผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 23 ราย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานความท้าทายของภาครัฐ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว และผู้นำชุมชนในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งคัดเลือกด้วยวิธีการแบบเจาะจง (Purposive Sampling) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพในจังหวัดภูเก็ตยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้น โดยมีความพยายามในการพัฒนาผ่านกิจกรรมวัฒนธรรมและชุมชน แต่ยังขาดการสนับสนุนเชิงระบบจากความท้าทายของภาครัฐ 2) ความท้าทายหลักของความท้าทายของภาครัฐ ได้แก่ การขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน งบประมาณจำกัด ขาดระบบควบคุมคุณภาพ และการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ยังไม่ชัดเจน 3) แนวทางที่เสนอ ได้แก่ การจัดตั้งกลไกความร่วมมือแบบพหุภาคี การส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพอย่างยั่งยืนในจังหวัดภูเก็ต</p> <p> </p> 2025-10-09T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2414 การบริหารจัดการข้อมูลและระบบติดตามของภาครัฐในการควบคุมโรงงานผลิตอาหารสัตว์ 2025-10-10T11:12:47+07:00 บุญเรือน ทองทิพย์ boonruen.th@hotmail.com <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบและแนวทางการบริหารจัดการข้อมูลของภาครัฐที่ใช้ในการควบคุมและกำกับดูแลโรงงานผลิตอาหารสัตว์ในประเทศไทย 2) วิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบติดตามและตรวจสอบ ที่ภาครัฐนำมาใช้ในการควบคุมคุณภาพการผลิตอาหารสัตว์ และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลและการติดตามของภาครัฐ โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Internet of Things (IoT) และ Blockchain เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสในการควบคุมโรงงานอาหารสัตว์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรงงานอาหารสัตว์ ผู้บริหารโรงงานในจังหวัดนนทบุรี และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมจำนวน 25 ราย โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง และเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการข้อมูลของภาครัฐยังขาดการบูรณาการ ปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ ยังมีการจัดเก็บข้อมูลแยกกันในรูปแบบแมนนวลหรือรายงานกระดาษ ส่งผลให้เกิดความซ้ำซ้อนและไม่สามารถนำข้อมูลมาใช้ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ การขาดระบบกลางที่เชื่อมโยงทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวางแผนและตัดสินใจเชิงนโยบายขาดความแม่นยำและทันเวลา 2) ข้อจำกัดของระบบติดตามภาครัฐ ระบบติดตามการดำเนินงานในภาครัฐยังประสบปัญหาด้านความล่าช้า ความไม่แม่นยำ และการตอบสนองต่อเหตุการณ์ผิดปกติไม่ทันท่วงที โดยมักมุ่งเน้นการตรวจสอบย้อนหลังมากกว่าการคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งไม่เพียงพอต่อการจัดการความเสี่ยงเชิงรุกในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และ 3) แนวทางการพัฒนาควรเน้นเทคโนโลยีและบุคลากร การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่าง อินเทอร์เน็ตสรรพสิ่ง (IoT &amp; Blockchain) จะช่วยให้สามารถบันทึกและตรวจสอบทันทีที่เกิดเหตุการณ์จริง ควบคู่กับการพัฒนาฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงภาครัฐและเอกชน และการอบรมบุคลากรให้มีทักษะดิจิทัลรองรับระบบในระยะยาว</p> 2025-10-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2508 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของ ประชาชนในตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย 2025-10-31T08:53:02+07:00 สุพรรณี นันตา 668970205@crru.ac.th อรุณี อินเทพ arunee.int@crru.ac.th <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทําแผนพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นองค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นเป็นการวางแผนการพัฒนาที่มีความสำคัญต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นอย่างยิ่งทั้งนี้ เนื่องจากแผนการพัฒนาเป็นกรอบในการกำหนดทิศทางการพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มุ่งไปสู่ สภาพการณ์อันพึงประสงค์ได้อย่างเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงและมุ่งไปสู่สภาพการณ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคต เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณได้ศึกษาแนวคิดการมีส่วนร่วมเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือประชาชนตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย จํานวนประชากรทั้งหมด 15,302 คนและได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 390 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบการสุ่มจากประชากร โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้สูตรของ Taro Yamane Yamane, T. (1973) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความถดถอย แบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ตามวัตถุประสงค์ข้อที่1ระดับการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของประชาชนในตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (x̄ = 3.28 , SD = 0.74) หากพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ อยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.56 , SD = 0.82 ) ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นองค์การบริหารส่วนตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ผลการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยพหุคูณพบว่าปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยดึงดูด มีผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของประชาชนในตำบลตับเต่า อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย</p> <p> องค์ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถนำข้อมูลผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นในพื้นที่เพื่อให้การดำเนินงานการจัดทำแผนมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม</p> 2025-10-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1841 โรงเรียนขนาดเล็ก : ปัญหาและความท้าทายในโลกยุคใหม่ 2025-10-10T11:13:03+07:00 วิชุตา ภควัฒนะ wichuta.pa@ku.th สุมิตร สุวรรณ Sumit.s@ku.ac.th พัชราภา ตันติชูเวช patcharapa.tat@gmail.com <p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์ปัญหาและความท้าทายของโรงเรียนขนาดเล็กในบริบทของสังคมยุคใหม่ และนำเสนอแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมเพื่อเสริมสร้างคุณภาพการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ชนบทและห่างไกล วิธีที่ใช้ในการศึกษาเป็นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสาร งานวิจัย และนโยบายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบทความวิชาการและรายงานการศึกษาเกี่ยวกับโรงเรียนขนาดเล็กทั้งในและต่างประเทศ มีข้อสรุปสำคัญที่เกิดจากการศึกษาว่า โรงเรียนขนาดเล็กต้องเผชิญกับปัญหาสำคัญหลายด้าน ทั้งการขาดแคลนครูและทรัพยากรทางการศึกษา ความเสี่ยงจากนโยบายการควบรวมโรงเรียนที่อาจส่งผลต่อโอกาสทางการศึกษาและโครงสร้างชุมชนในระยะยาว การปรับตัวสู่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และข้อจำกัดด้านงบประมาณ โดยบทความได้นำเสนอแนวทางพัฒนาที่เป็นไปได้ 4 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรทางการศึกษาให้เพียงพอและเหมาะสม 2) การเสริมสร้างคุณภาพครูและการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับบริบทโรงเรียนขนาดเล็ก 3) การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษา และ 4) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ชุมชน และภาครัฐ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบายและการจัดการศึกษาสำหรับโรงเรียนขนาดเล็กในระยะยาว รวมถึงสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสที่เป็นธรรมให้แก่เด็กนักเรียนในทุกพื้นที่ต่อไป</p> 2025-10-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2445 การจัดการศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2025-10-10T11:10:45+07:00 ธนัช มหาสินทรัพย์ tanat_mah@cmru.ac.th สิรินทร์นิชา ปัญจอริยกุล tanat_mah@cmru.ac.th ชวลิต ขอดศิริ tanat_mah@cmru.ac.th ทัศนีย์ อารมย์เกลี้ยง tanat_mah@cmru.ac.th <p><strong> </strong>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการจัดการศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ทางด้านการจัดการศึกษาในทุกระดับ โดยการน้อมน้ำแนวคิดปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดยาวนาน ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ สำหรับการจัดการศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง บทความนี้นำเสนอ 1) แนวทางดำเนินการจัดการศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) ตัวชี้วัดความสำเร็จของการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ 3) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง องค์ความรู้นี้จะช่วยให้ผู้บริหารการศึกษาได้จัดการศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นหลักการจัดการศึกษาของประเทศไทยที่เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับปวงชนชาวไทยทุกคนให้มีความพออยู่พอกิน ไม่อดอยาก มีปัจจัยสี่บำรุงชีวิตอย่างพอเพียงไม่ขาดแคลน และมีชีวิตที่เป็นสุขพอสมควรแก่อัตภาพ</p> 2025-10-10T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2495 การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกโดยใช้กระบวนการสร้างแบบจำลอง 2025-10-10T11:11:58+07:00 ศิรวิทย์ ปฐมชัยวาลย์ sirawit.pathom@gmail.com อุบลวรรณ ส่งเสริม sirawit.pathom@gmail.com <p><strong> </strong>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกโดยใช้กระบวนการสร้างแบบจำลอง ทั้งนี้การสร้างแบบจำลองมีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกคือ การช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้และความเข้าใจด้านเนื้อหาวิทยาศาสตร์โลก ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ และการค้นหาข้อมูลและการตวจสอบคุณภาพของแหล่งข้อมูลสำหรับการค้นหาข้อมูล ตลอดจนช่วยให้นักเรียนปลอดภัยจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่อันตรายได้ นอกจากนี้พบปัญหาของแบบจำลองและการสร้างแบบจำลองในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลก คือ นักเรียนและครูผู้สอนวิทยาศาสตร์โลกมักความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของแบบจำลอง และการขาดทักษะและความรู้ที่เพียงพอต่อการสร้างแบบจำลอง โดยปัญหาเกี่ยวกับความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของแบบจำลองนั้นควรส่งเสริมให้ครูผู้สอนวิทยาศาสตร์โลกสามารถจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกโดยใช้แบบจำลองทางกายในลักษณะแบบจำลองเชิงเปรียบเทียบ และใช้ตัวแทนความคิดที่ใช้ข้อมูลสารสนเทศเป็นฐานในการแสดงให้เห็นภาพเพื่อให้นักเรียนเข้าใจหัวข้อวิทยาศาสตร์โลกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ปัญหาการขาดทักษะและความรู้ที่เพียงพอต่อการสร้างแบบจำลองนั้นควรให้ครูและนักเรียนเข้าใจแนวคิดการสร้างแบบจำลองและสามารถสร้างแบบจำลองได้โดยใช้กระบวนการสร้างแบบจำลองในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การสร้างแบบจำลอง 2) การใช้แบบจำลอง 3) การทดสอบและประเมินแบบจำลอง และ 4) การแก้ไขและปรับปรุงแบบจำลอง สิ่งเหล่านี้ช่วยแก้ปัญหาของการสร้างแบบจำลองในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกได้อย่างมีประสิทธิผล</p> 2025-10-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1810 พัฒนาผู้บริหารและครู : สู่การสร้างโรงเรียนมาตรฐานสากล 2025-10-10T11:13:37+07:00 กรวิกา ดีเอี่ยม kornviga.d@ku.th พัชราภา ตันติชูเวช patcharapa.tat@gmail.com สุมิตร สุวรรณ Sumit.s@ku.ac.th <p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาผู้บริหารและครูในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการสร้างโรงเรียนที่มีมาตรฐานสากล ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ โดยเน้นการพัฒนาผู้บริหารให้มีวิสัยทัศน์ ทักษะการบริหารจัดการที่ทันสมัย และความสามารถในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับการพัฒนาครูให้มีความสามารถด้านวิชาชีพ การสอนที่เหมาะสม และการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิผล เพื่อให้นักเรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและสามารถปรับตัวได้ในโลกดิจิทัล นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล การใช้เทคโนโลยีในการประเมินผลการเรียนรู้ และการสร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ชุมชน และภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างโอกาสในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ดังนั้น การพัฒนาโรงเรียนให้มีมาตรฐานสากลจึงต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับระบบการศึกษาให้ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมในอนาคต</p> 2025-10-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1832 การวิเคราะห์เปรียบเทียบทฤษฎี Z และโมเดล PERMA เพื่อมุมมองใหม่ในการพัฒนาองค์กรในศตวรรษที่ 21 2025-10-10T11:13:21+07:00 ฐณัฏฐ์ อัฑฒ์ทิวัตถ์ธนา aump.thanat@gmail.com <p> บทความวิชาการนี้นำเสนอการวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างทฤษฎี Z และโมเดล PERMA เพื่อเสนอมุมมองใหม่ในการพัฒนาองค์กรในศตวรรษที่ 21 โดยชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาองค์กรยุคใหม่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ผู้เขียนนำเสนอ 1) แนวคิดหลักของทฤษฎี Z 2) องค์ประกอบสำคัญของโมเดล PERMA 3) การวิเคราะห์เปรียบเทียบจุดแข็งและข้อจำกัดของทั้งสองแนวคิด 4) แนวทางการผสมผสานทฤษฎี Z และโมเดล PERMA เพื่อการพัฒนาองค์กร และ 5) กรณีศึกษาการประยุกต์ใช้แนวคิดผสมผสานในองค์กรสมัยใหม่ ทฤษฎี Z เน้นการสร้างความผูกพันระยะยาวระหว่างองค์กรและพนักงาน การตัดสินใจแบบมีส่วนร่วม และการพัฒนาทักษะที่หลากหลาย ในขณะที่โมเดล PERMA มุ่งเน้นการสร้างความเจริญงอกงามของบุคคลผ่านองค์ประกอบ 5 ประการ ได้แก่ อารมณ์เชิงบวก ความผูกพัน ความสัมพันธ์ ความหมาย และความสำเร็จ การวิเคราะห์เปรียบเทียบพบว่าทั้งสองแนวคิดมีจุดแข็งที่สามารถเสริมซึ่งกันและกัน โดยทฤษฎี Z ให้กรอบการจัดการที่ชัดเจน ขณะที่โมเดล PERMA เน้นการพัฒนาความสุขและความเจริญงอกงามของบุคคล บทความนี้นำเสนอแนวทางการผสมผสานทั้งสองแนวคิดเพื่อสร้างองค์กรที่มีประสิทธิภาพและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน โดยเสนอกลยุทธ์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เน้นทั้งผลการปฏิบัติงานและความเจริญงอกงามส่วนบุคคล การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความผูกพัน ตลอดจนการพัฒนาระบบการประเมินผลที่ครอบคลุมทั้งด้านผลงานและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน องค์ความรู้จากบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารและนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในการออกแบบกลยุทธ์การพัฒนาองค์กรที่ตอบโจทย์ความท้าทายในศตวรรษที่ 21</p> 2025-10-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2427 กู่ประภาชัย : มรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนอารยธรรมโบราณ 2025-10-10T11:12:31+07:00 พระณัฐวุฒิ พันทะลี pantalee200134go@gmail.com พระมหาชัชวาลย์ จารย์คุณ pantalee200134go@gmail.com แสงอาทิตย์ ไทยมิตร pantalee200134go@gmail.com อานันท์ กรมน้อย pantalee200134go@gmail.com นัยน์ปพร สุภา pantalee200134go@gmail.com <p> บทความวิชาการเรื่องนี้มุ่งศึกษามรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนอารยธรรมโบราณของกู่ประภาชัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์คุณค่าทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และความสัมพันธ์ ทางวัฒนธรรมของกู่ประภาชัยกับอารยธรรมขอมโบราณ กู่ประภาชัย ตั้งอยู่ในวัดบ้านนาคำน้อย จังหวัดขอนแก่น สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอมช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 โดยใช้ศิลาแลงและหินทรายเป็นวัสดุหลัก องค์ประกอบของปราสาท ได้แก่ องค์ปรางค์ประธานทับหลังลวดลายขอมและแท่นศิวลึงค์ที่สะท้อนแนวคิดเทวราชาและคติจักรวาลของศาสนาฮินดู ต่อมาได้มีการเปลี่ยนความเชื่อจากศาสนาฮินดูสู่พุทธมหายาน โดยพบหลักฐาน คือ พระโพธิสัตว์ไภษัชยุครุและแผ่นจารึกภายในบริเวณปรางค์กู่ประภาชัยที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตชุมชนบ้านนาคำน้อยและบริเวณใกล้เคียง โดยเฉพาะในประเพณีสรงกู่ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ชาวบ้านได้ร่วมกันประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรม เช่น การบวงสรวงเจ้าที่ การถวายขันธ์บูชา และพิธีเสี่ยงทายบั้งไฟ เพื่อขอพรความอุดมสมบูรณ์และความสงบสุขให้แก่หมู่บ้าน ซึ่งกู่ประภาชัยยังเป็นพื้นที่สาธารณะเชิงวัฒนธรรมที่เป็นเชิงสัญลักษณ์เชื่อมโยงระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับชีวิตของผู้คนในชุมชน แสดงให้เห็นว่ากู่ประภาชัยไม่ได้เป็นเพียงโบราณสถานที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณ ความเชื่อและความทรงจำร่วมของชุมชนในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดการอนุรักษ์และถ่ายทอดองค์ความรู้สู่คนรุ่นใหม่เป็นแบบอย่างของการธำรงมรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนในบริบทร่วมสมัย</p> 2025-10-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์