https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/issue/feed
วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
2025-08-31T21:53:54+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ศรีพันธ์
journal.ssa.review@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong><span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">ISSN 3057-076X</span> <span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">(Online)</span></strong></p> <p><strong> </strong></p>
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2471
บทบาทของธรรมาภิบาลต่อการป้องกันการทุจริตในงานก่อสร้าง
2025-07-29T20:25:01+07:00
ปรินทร ศิริเอี้ยวพิกูล
parinthorn@hitechthai.com
<p> บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาการทุจริตในอุตสาหกรรมก่อสร้างถือเป็นปัญหาเร่งด่วนระดับโลกที่ส่งกระทบร้ายแรงต่อประสิทธิภาพโครงการ โอกาสการลงทุน และความน่าเชื่อถือของระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะเมื่ออุตสาหกรรมนี้ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในภาคที่มีการทุจริตสูงที่สุดในโลก บทความวิชาการฉบับนี้จึงมุ่งวิเคราะห์บทบาทสำคัญของธรรมาภิบาลในการสร้างกลไกป้องกันที่มีประสิทธิภาพผ่านแนวทางหลากหลายมิติ เริ่มต้นด้วยการสร้างกลไกความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูลที่ช่วยเสริมสร้างความรับผิดชอบและลดช่องทางการทุจริต ต่อยอดด้วยระบบตรวจสอบภายในและการถ่วงดุลแบบดิจิทัลที่เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม และขยายผลผ่านการมีส่วนร่วมของหลายฝ่ายในการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังและตรวจสอบ ขณะเดียวกันการบูรณาการมาตรฐาน ISO 37001 เข้ากับ Integrity Pact จะช่วยสร้างมาตรฐานสากลในการป้องกันการทุจริตที่เป็นที่ยอมรับ และเมื่อผนวกเข้ากับการสร้างวัฒนธรรมจริยธรรมและระบบการเรียนรู้ที่ยั่งยืนภายในองค์กร รวมถึงการประยุกต์บทเรียนจากประเทศอื่นที่ประสบความสำเร็จ จะทำให้เกิดเป็นระบบนิเวศป้องกันการทุจริตที่ครอบคลุมและมีประสิทธิผล ความสำเร็จของการต่อต้านการทุจริตจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับการมีส่วนร่วมของมนุษย์อย่างสมดุล โดยองค์ความรู้ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้กำหนดนโยบาย ผู้บริหารโครงการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาที่กำลังมองหาแนวทางการป้องกันการทุจริตที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1773
การบริหารงานวิชาการตามแนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัล
2025-08-09T14:04:39+07:00
ภรณ์ทิพย์ ปั้นก้อง
porntip.pan@rmutr.ac.th
พรรณี เทพสูตร
porntip.pan@rmutr.ac.th
วรรณรี ปานศิริ
wannaree.pan@rmutr.ac.th
<p> บทความวิชาการนี้วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการตามแนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัล 2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการตามแนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัล และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการตามแนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัล ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการศึกษา การบริหารงานวิชาการจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวทางให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี แนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัลจึงได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างปลอดภัย มีจริยธรรม และมีประสิทธิภาพ บทความวิชาการนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอแนวคิดและความสำคัญ ขอบข่าย และองค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการตามแนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัล องค์ความรู้จากบทความนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริหารสถานศึกษาและหน่วยงานทางการศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารสถานศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล</p>
2025-08-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1808
องค์กรแห่งความสุขของครูในโลกยุคใหม่
2025-08-09T14:04:19+07:00
พิชชาพร เจริญยิ่ง
phitchaporn.j@ku.th
พัชราภา ตันติชูเวช
patcharapa.tat@gmail.com
อรอุษา ปุณยบุรณ
ornusa.p@ku.ac.th
<p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาองค์กรแห่งความสุขสำหรับครูในโลกยุคใหม่เป็นแนวทางสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อช่วยลดภาวะหมดไฟในการทำงานของครู การดูแลสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจของครูถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสุขในการทำงาน ผ่านการนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับ 1) ความสัมพันธ์ระหว่างความสุขของครูกับการพัฒนาการศึกษา 2) ปัญหาภาวะหมดไฟในการทำงาน และผลกระทบต่อการศึกษา 3) มุมมององค์กรแห่งความสุขอในสถานศึกษาต่างประเทศ 4) องค์ประกอบขององค์กรแห่งความสุข 5) แนวทางในการพัฒนาองค์กรแห่งความสุขของครูในสถานศึกษาของประเทศไทย โดยการถอดบทเรียนจากประเทศที่เป็นเลิศด้านการศึกษา ซึ่งให้ความสำคัญกับองค์กรแห่งความสุขของครู มุ่งเน้นไปที่การสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการพัฒนาและความสุขในการทำงานของครู ซึ่งจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการสอนและคุณภาพการศึกษา ซึ่งจะทำให้ครูมีความสุขในการทำงานและส่งผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในประเทศไทยในระยะยาว</p>
2025-08-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1837
ความเสมอภาคทางการศึกษา : โอกาสการเข้าถึงและคุณภาพ
2025-08-09T14:03:58+07:00
รัตนาภรณ์ เชยชิต
rattanaporn.choei@ku.th
สุมิตร สุวรรณ
Sumit.s@ku.ac.th
พัชราภา ตันติชูเวช
patcharapa.tat@gmail.com
<p> บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและโอกาสทางสังคมของประชากร แม้ว่าประเทศไทยจะมีนโยบายและกฎหมายที่สนับสนุนการศึกษาสำหรับทุกคน แต่ในทางปฏิบัติยังมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่เป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ความเสมอภาคทางการศึกษาใน 4 ประเด็น ได้แก่ 1) การเข้าถึงการศึกษาสำหรับทุกกลุ่มประชากร ซึ่งมีความท้าทายโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและกลุ่มเปราะบางทั้งเด็กยากจนและเด็กต่างด้าว 2) คุณภาพการศึกษาที่เท่าเทียมกัน ซึ่งได้รับผลกระทบจากความแตกต่างของทรัพยากรระหว่างโรงเรียนในเมืองและชนบท 3) การสนับสนุนทางเศรษฐกิจและสังคม โดยสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวมีผลโดยตรงต่อโอกาสทางการศึกษา และ 4) ระบบวัดและประเมินผลที่เป็นธรรมและครอบคลุม ซึ่งยังคงใช้มาตรฐานเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงบริบทที่แตกต่างกันของผู้เรียน นอกจากนี้ยังได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาในการเสริมสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้แบบปรับตัว (Adaptive Learning Technology) เพื่อลดอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาครูและหลักสูตรให้เหมาะสมกับผู้เรียนที่หลากหลาย โดยใช้แนวคิดโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ (School as Learning Community) การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการสนับสนุนการศึกษาโดยการถอดบทเรียนจากประเทศนิวซีแลนด์ และการออกแบบระบบการประเมินผลที่ยืดหยุ่นและสะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของผู้เรียนโดยการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมการจัดการศึกษาให้เท่าเทียมและมีคุณภาพต่อไป</p> <p> </p>
2025-08-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1553
การออกแบบและนำเสนอสื่อการสอนอย่างสร้างสรรค์ด้วยเอไอวีพิคเพื่อเสริมสร้าง ทักษะพุทธิพิสัยของผู้เรียน
2025-08-09T14:04:57+07:00
ภราดร พากเพียร
67910161@go.buu.ac.th
อุทิศ บำรุงชีพ
uthit.505@gmail.com
<p> บทความวิชาการนี้เป็นการศึกษาการออกแบบและนำเสนอสื่อการสอนอย่างสร้างสรรค์โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เอไอวีพิค (AI Wepik) เพื่อเสริมสร้างทักษะพุทธิพิสัยของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 โดยทักษะพุทธิพิสัยครอบคลุมการพัฒนาความรู้และการคิดในระดับสูง เช่น ความจำ ความเข้าใจ การวิเคราะห์ และการประเมินผล การใช้เอไอวีพิค ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI ช่วยให้ผู้สอนสามารถออกแบบสื่อการสอนที่มีคุณภาพและความสวยงาม โดยเอไอวีพิค มาพร้อมกับคุณสมบัติหลากหลาย เช่น การปรับแต่งเทมเพลตที่หลากหลายตามความต้องการของเนื้อหา ฟังก์ชันการปรับแต่งที่ยืดหยุ่น และการใช้อัลกอริธึมเพื่อเสนอการออกแบบที่เหมาะสม นอกจากนี้ เอไอวีพิคยังสามารถสร้างภาพประกอบและกราฟิกอย่างรวดเร็ว สนับสนุนการเลือกองค์ประกอบของสื่อที่ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนและสอดคล้องกับเนื้อหา อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ และการคิดเชิงนวัตกรรมของผู้เรียน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการออกแบบสื่อช่วยให้เกิดความสะดวกและยืดหยุ่นในการนำเสนอเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจ ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้</p>
2025-08-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2218
การศึกษาสภาพ ความต้องการจำเป็น และแนวทางการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ของสถานศึกษานำร่องในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2025-08-09T14:02:57+07:00
วัชรภัทร เตชะวัฒนศิริดำรง
ananxisu163@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ 2) ประเมินความต้องการจำเป็น และ 3) พัฒนาแนวทางการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ของสถานศึกษานำร่องในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 45 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง และ ครูปฐมวัย จำนวน 75 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบมีระบบ รวมทั้งสิ้น 120 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามเพื่อการวิจัย และ 2) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าดัชนีการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่พึงประสงค์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2.) ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ของสถานศึกษานำร่องในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยภาพรวม โดยเรียงลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการออกแบบและพัฒนาหลักสูตร ด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตร ด้านการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร ด้านการมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และด้านการบริหารจัดการหลักสูตร 3. การประเมินแนวทางการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ในสถานศึกษานำร่องจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก โดยมีข้อเสนอแนะสำคัญดังนี้ 1) จัดเวิร์กชอปหรือ PLC ให้ครูและผู้บริหารร่วมออกแบบหลักสูตรที่สอดคล้องบริบทท้องถิ่นและเป้าหมายหลักสูตร 2) อบรมเชิงปฏิบัติการให้ครูทุกคนในสถานศึกษานำร่อง เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องเป้าหมาย ความสามารถ และพัฒนาการเด็ก 4 มิติ 3) พัฒนาชุดกิจกรรมต้นแบบที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นและยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง 4) จัดประชุมหรืออบรมผู้ปกครองให้เข้าใจหลักสูตรใหม่และบทบาทในการสนับสนุนลูก และ 5) พัฒนาระบบติดตามและประเมินผลที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับระดับปฐมวัย</p>
2025-08-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2499
การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (SEL)ต่อการปรับตัวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในยุคเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อรองรับสังคมแห่งการเรียนรู้ จังหวัดเชียงราย
2025-08-05T20:12:07+07:00
ทิพวรรณ เมืองใจ
tippawanmua@gmail.com
กันย์ธนัญ สุชิน
tippawan.mua@crru.ac.th
ธนพัทธ์ จันท์พิพัฒน์พงศ์
tippawan.mua@crru.ac.th
<p style="font-weight: 400;"> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ (SEL) และการปรับตัวในยุคเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในยุคเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อรองรับสังคมแห่งการเรียนรู้ จังหวัดเชียงราย และ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ (SEL) ต่อการปรับตัวของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในยุคเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อรองรับสังคมแห่งการเรียนรู้ จังหวัดเชียงราย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ได้ศึกษาแนวคิด<br />การเรียนรู้ด้านสังคมและอารมณ์ และการปรับตัวของบุคคลเป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย จำนวน 400 คน คำนวณสัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างจากสูตรทาโร่ ยามาเน่ และกลุ่มตัวอย่างผู้เข้าร่วมกิจกรรมเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่มีระดับคะแนนแบบวัดกระบวนการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (SEL) และการปรับตัวในยุคเทคโนลียีปัญญาประดิษฐ์ ระดับต่ำและระดับปานกลาง จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 3 ชนิด คือ 1) แบบวัดกระบวนการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (SEL) 2) แบบวัดการปรับตัวในยุคเทคโนลียีปัญญาประดิษฐ์ และ3) รูปแบบกระบวนการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (SEL) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li> นักเรียนมีกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ (SEL) และมีการปรับตัวในยุคเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ อยู่ในระดับปานกลาง</li> </ol> <ol start="2"> <li>รูปแบบกิจกรรมการเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ (SEL) ต่อการปรับตัว<br />ของนักเรียนที่พัฒนาขึ้นมี 5 กิจกรรม ได้แก่ 1) กิจกรรมการตระหนักรู้ในตนเอง “กระจกสะท้อนใจ เข้าใจตัวตน” 2) กิจกรรมการจัดการตนเอง “ลิขิตเป้าหมาย ก้าวไปด้วยใจมั่น” 3) กิจกรรมการตระหนักรู้ในสังคม “ฉันกับเรา เข้าใจสังคมรอบตัว” 4) กิจกรรมทักษะด้านความสัมพันธ์ “ฟังกันและกัน ผูกพันด้วยความเข้าใจ” และ 5) กิจกรรมตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบ “คิดก่อนทำ รับผิดชอบต่อผลลัพธ์” โดยใช้เวลากิจกรรมละ 2 ชั่วโมง ภายหลังนักเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรม พบว่า มีระดับกระบวนการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (SEL) การปรับตัวในยุคเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สูงขึ้น</li> </ol> <p> องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้คือการเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ (SEL) เพื่อการปรับตัวของนักเรียนในยุคเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ รูปแบบกิจกรรมที่นำเสนอสามารถนำไปเป็นแนวทาง<br />ในการประยุกต์ใช้ในโรงเรียนเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและการเรียนรู้ในสังคมแห่งการเรียนรู้ ทั้งยังเป็นข้อมูลสำหรับครู ผู้บริหาร และหน่วยงานการศึกษาในการวางแผนพัฒนาผู้เรียนอย่างเหมาะสม</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2248
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคกลุ่มแข่งขัน เรื่อง เศรษฐศาสตร์กับการดำเนินชีวิต สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2025-08-17T21:32:11+07:00
ฐพัชร์ โคตะ
khota.thaphat@gmail.com
ประธาน พิศงาม
jackkusmp@gmail.com
มนัสรี ฤทธิเดช
khota.thaphat@gmail.com
นิลรัตน์ โคตะ
khota.thaphat@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคกลุ่มแข่งขัน (TGT) เรื่อง เศรษฐศาสตร์กับการดำเนินชีวิต วิชาสังคมศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้เทคนิค TGT และ 3) ศึกษาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค TGT การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านนาโก ปีการศึกษา 2567 จำนวน 17 คน ซึ่งคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 10 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 30 ข้อ และ 3) แบบประเมินความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 20 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 90.41/83.92 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ 3) นักเรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก โดยมีคะแนนเฉลี่ย 17.29 จาก 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 86.47 องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าเทคนิค TGT เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาทั้งความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาเศรษฐศาสตร์ และส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์และการทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21</p>
2025-08-17T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2391
บทบาทของนโยบายสาธารณะในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคมไทย
2025-07-16T22:50:11+07:00
ฉัฐวัฒน์ ชัชณฐาภัฏฐ์
chattawat.sh@western.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาพัฒนาการและแนวโน้มของนโยบายสาธารณะที่มีเป้าหมายในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในประเทศไทย 2) วิเคราะห์บทบาทและประสิทธิภาพของนโยบายสาธารณะในการจัดการกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในมิติต่าง ๆ 3) เสนอแนวทางในการพัฒนานโยบายสาธารณะที่มีความยั่งยืนและสามารถลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ศึกษาแนวคิด ความยุติธรรมเชิงกระจาย ของ Rawls และแนวคิดรัฐสวัสดิการ เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มเป้าหมาย คือ เอกสารทางวิชาการ รายงานวิจัย และเอกสารนโยบายจากหน่วยงานรัฐ และองค์กรระหว่างประเทศ จำนวน 45 ฉบับ ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1 ชนิด คือ แนวทางการวิเคราะห์เอกสาร ซึ่งพัฒนาโดยอิงจากหลักการของ Bowen และ Yin วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา แล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) พัฒนาการของนโยบายสาธารณะในไทยมีลักษณะต่อเนื่องในเชิงมาตรการช่วยเหลือระยะสั้น แต่ยังขาดแนวทางเชิงโครงสร้างและขาดการบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ 2) นโยบายจำนวนมากมีบทบาทในระดับ บรรเทาความเดือดร้อน มากกว่าการลดช่องว่างเชิงระบบ ขาดกลไกติดตามประเมินผล และขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และ 3) แนวทางในการพัฒนานโยบายควรมุ่งเน้นการออกแบบที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น มีความยืดหยุ่น และใช้ดัชนีความยุติธรรมในการประเมินผล มากกว่าการเน้นเพียงรายได้รวม สำหรับองค์ความรู้จากงานวิจัยนี้สามารถนำไปใช้ในการออกแบบนโยบายสาธารณะที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เสริมประสิทธิภาพด้านการบริหาร และสนับสนุนการปฏิรูประบบรัฐสวัสดิการของไทยในระยะยาว</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1838
การพัฒนารูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบมีส่วนร่วมของเครือข่ายสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 1
2025-08-09T14:03:39+07:00
วิภา สายรัตน์
Ohmm254509@gmail.com
<p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบมีส่วนร่วมจากเครือข่ายสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 1 โดยศึกษาแนวคิดการพัฒนารูปแบบ ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และเครือข่ายสถานศึกษาเป็นกรอบการวิจัย แหล่งข้อมูลในการวิจัยคือเอกสารที่เกี่ยวข้อง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน ที่เลือกมาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 3 ชนิด คือ 1) แบบบันทึก 2) แบบประเมินร่างรูปแบบ 3) แบบประเมินร่างคู่มือการใช้รูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการบริหารที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบหลัก 6 ประการ ได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาของรูปแบบ 4) กระบวนการดำเนินงาน 5) การวัดประเมินผล 6) เงื่อนไขความสำเร็จ โดยผลการสร้างรูปแบบการบริหารอยู่ในระดับมากที่สุด องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้คือสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาอื่นๆ ได้ และการพัฒนารูปแบบที่มีประสิทธิภาพจะช่วยส่งเสริมและพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p> <p> </p>
2025-08-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2444
กลยุทธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวศิลปะร่วมสมัยสู่เชียงรายสร้างสรรค์
2025-08-31T21:53:54+07:00
กฤติยาภรณ์ เวียงคำ
668970216@crru.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์บริบทและศักยภาพเชิงนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศิลปะร่วมสมัยในจังหวัดเชียงราย 2) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคของการท่องเที่ยวเชิงศิลปะร่วมสมัยในจังหวัดเชียงราย 3) เสนอแนวทางเชิงนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศิลปะร่วมสมัยในจังหวัดเชียงราย เป็นการวิจัยแบบผสมผสานเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่มีความน่าเชื่อถือและครอบคลุมทุกด้าน กลุ่มตัวอย่างของวิจัยเชิงปริมาณ คือ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย จำนวน 400 คน และกลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ผู้ให้ข้อมูลที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะด้านการท่องเที่ยวและโรงแรม และนักท่องเที่ยว รวมทั้งสิ้นจำนวน 10 คน โดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์เจาะลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) เชียงรายมีศักยภาพโดดเด่นจากความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวทั้งธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ควบคู่กับกิจกรรมศิลปะร่วมสมัย ที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์และการมีส่วนร่วมของชุมชน (2) ระดับปัญหาโดยรวมอยู่ในระดับสูง โดยประเด็นหลักอยู่ที่แหล่งและกิจกรรมการท่องเที่ยว อันเกิดจากการขาดการบูรณาการระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและระบบคมนาคมขนส่งที่ยังไม่เอื้อต่อการเชื่อมต่อแหล่งท่องเที่ยว และ (3) แนวทางส่งเสริมผู้วิจัยเสนอเป็นการพัฒนาแบบองค์รวม เน้นยกระดับแหล่งและกิจกรรมท่องเที่ยว ควบคู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเดินทางให้เหมาะสมและยั่งยืน งานวิจัยชี้ให้เห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดตั้งและเสริมสร้างกลไกความร่วมมือเชิงระบบและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรองรับ หากไม่ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม โอกาสในการยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่นและสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกของเชียงรายในระยะยาวจะลดลง อันกระทบต่อการขับเคลื่อนเชียงรายสู่เมืองสร้างสรรค์อย่างเต็มศักยภาพ</p> <p><strong> </strong></p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1918
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช
2025-08-09T14:03:19+07:00
ยุพมาศ สุขใส
joey.yuppamart@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ได้ศึกษาระเบียบวิธีการวิจัยการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของ Saylor and Alexander (1974) ร่วมกับแนวคิดกระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน ขั้นตอนที่ 2 การออกแบบและพัฒนาหลักสูตร ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้หลักสูตร และ ขั้นตอนที่ 4 การประเมินผลและปรับปรุงหลักสูตร เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 เป็นครูที่ปฏิบัติการสอน สังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช จำนวน 364 คน และ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสําคัญจากการสัมภาษณ์ จํานวน 16 คน กลุ่มที่ 2 เป็นครูที่ปฏิบัติการสอน สังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ที่สมัครใจเข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 30 คน กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองใช้หลักสูตร เป็นครูที่ปฏิบัติหน้าที่โรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จํานวน 30 คน และกลุ่มที่ 4 เป็นครูที่ผ่านการฝึกอบรมในขั้นตอนการทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรม จํานวน 2 คน และ กลุ่มที่ 5 คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 6/1 จํานวน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ 2) สัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง 3) แบบประเมินการฝึกปฏิบัติ 4) แบบทดสอบ 5) แบบประเมินความเหมาะสมของโครงร่างลักสูตร 6) แบบประเมินความเหมาะสมของหลักสูตร 7) แบบประเมินความสอดคล้องของหลักสูตร และ 8) แบบสังเกตพฤติกรรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสารสนเทศและการสื่อสาร มีความต้องการจำเป็นมากที่สุด (ค่า PNI = 0.092) รองลงมา คือ ด้านการจัดการชั้นเรียน (ค่า PNI = 0.089) ด้านการการออกแบบการจัดการเรียนรู้ (ค่า PNI = 0.086) และ การวัดปละประเมินผลการเรียนรู้ (ค่า PNI = 0.084) จากการพิจารณาความต้องการจำเป็นโดยใช้ค่า PNI Modified พบว่าทั้ง 4 ด้านมีค่าเกินร้อยละ 5 (PNI > 0.05) ซึ่งเป็นค่าที่อยู่ในระดับยอมรับได้ สำหรับนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมในละดับต่อไป</li> <li>ผลการออกแบบและพัฒนาหลักสูตร พบว่า การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานช่วยให้สามารถออกแบบและเขียนโครงร่างหลักสูตรภายใต้รูปแบบการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดการเรียนรู้ของครู โดยสามารถกําหนดเนื้อหา กิจกรรม สื่อและการประเมินผลได้สอดคล้องกับความต้องการและสภาพการนําไปใช้ในชั้นเรียนได้จริง ส่งผลให้องค์ประกอบของโครงร่างหลักสูตรมีความเหมาะสมและสอดคล้องกันทุกองค์ประกอบ</li> <li>ผลการทดลองใช้หลักสูตร พบว่า หลักสูตรมีประสิทธิภาพ มีค่าเท่ากับ 24/85.55 อีกทั้งยังพบว่า ผู้เข้าอบรมมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดการเรียนรู้หลังฝึกอบรมสูงกว่าก่อนฝึกอบรมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิตที่ระดับ 0.05</li> <li>ผลการประเมินผลและปรับปรุงหลักสูตร พบว่า หลักสูตรมีความเหมาะสมและสอดคล้องกันทุกองค์ประกอบ และมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กําหนดไว้</li> </ol>
2025-08-09T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์