https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/issue/feed
วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
2025-05-27T08:38:14+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ศรีพันธ์
journal.ssa.review@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong><span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">ISSN 3057-076X</span> <span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">(Online)</span></strong></p> <p><strong> </strong></p>
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1581
การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นในการพัฒนางานวิชาการ วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์
2025-02-22T21:14:39+07:00
พงสุวัฒน์ เสริมศิริกาญจนา
phngnrngkh12@gmail.com
จินตนา อุททัง
autthangiintana@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและปัญหางานวิชาการ วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ และ2) จัดลำดับความต้องการจำเป็นงานวิชาการ วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ เป็นวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ จำนวน 353 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบแบบแบ่งชั้นจากประชากร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสอบถาม ที่ผ่านการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญและมีค่าความเที่ยงของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ Modified Priority Needs Index (PNI<sub>Modified</sub>) ผลการวิจัย พบว่า <strong> </strong></p> <ol> <li>สภาพการบริหารงานวิชาการ วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ ในภาพรวม พบว่า สภาพที่เป็นจริงทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.37, S.D. = 0.73) และปัญหา ในภาพอยู่ในระดับสูง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.97, S.D. = 0.92)</li> <li>ผลการจัดลำดับการศึกษาความต้องการจำเป็นงานวิชาการ วิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ พบว่า มีความต้องการในการพัฒนางานวิชาการ โดยมีค่า PNI<sub>Modified</sub> อยู่ระหว่าง 0.68 - 0.50 โดยมีความสำคัญเรียงตามลำดับดังนี้ ภาวะผู้นำครู ทักษะการคิด ทักษะในการสื่อสาร การวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน การพัฒนาระบบคุณภาพภายใน การทำงานเป็นทีมและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอน คุณธรรมจริยธรรมและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ การวัดและประเมินผลและการพัฒนาหลักสูตร</li> </ol> <p> องค์ความรู้/ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้</p> <ol> <li>ผู้บริหารควรส่งเสริมคุณธรรม ให้ความสำคัญอย่างมากที่จำเป็นต้องมีจุดมุ่งหมายเพื่อเรียนและดำเนินการทางการศึกษาเพื่อให้คำแนะนำแก่ผู้นำผลและประเมินผลอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้ยกระดับประสิทธิภาพการบริหารงานวิชาการให้ศูนย์กลางมาตรฐานทางการศึกษา</li> <li> การบริหารหลักสูตรควรเพิ่มความเหมาะสมและความสม่ำเสมอโดยพิจารณาปรับปรุงเนื้อหาและทิศทางการนำไปใช้เพื่อให้เนื้อหาในการเรียนและครูระบบจะช่วยเสริมสร้างคุณภาพการเรียนรู้</li> </ol>
2025-05-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1494
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิจิตร
2025-01-14T07:35:32+07:00
สุริยัน กาคะ
suriyank67@nu.ac.th
ปอยขวัญ เขมา
poykwank67@nu.ac.th
ปุณยาพร สอนศรี
suriyank67@nu.ac.th
สถิรพร เชาวน์ชัย
sathirapornc@nu.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) ศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิจิตร 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดพิจิตร มีการดำเนินการเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ได้แก่ ผู้บริหารและครู 285 คน จากการสุ่มแบบแบ่งชั้น เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม มีลักษณะ 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหาร กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา พบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียนมีค่าเฉลี่ย 3.91 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.65 แสดงว่ามีพฤติกรรมการปฏิบัติตนอยู่ในระดับ มาก 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารโรงเรียน สามารถจำแนกเป็น 5 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านวิสัยทัศน์ดิจิทัล กำหนดแผนกลยุทธ์โดยการประชุมร่วมกับคณะกรรมการสถานศึกษา พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา บูรณาการอย่างสร้างสรรค์ 2) ด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์วางแผนงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมาย 3) จัดฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร มีการจัดอบรมครูใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้ดิจิทัล ในการใช้เทคโนโลยี 4) ด้านการจัดการทักษะบุคลากร ในวัฒนธรรมองค์กรดิจิทัลการทำงานมีการนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนของทุกงาน 5) ด้านความสามารถดิจิทัลการเรียนรู้ กำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลนำไปใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนและการวัดประเมินผล</p> <p> </p>
2025-05-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1626
การพัฒนารูปแบบกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียนในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ โดยใช้การวิจัยประสบการณ์ผู้ใช้
2025-02-12T18:40:51+07:00
ธีรภัทร วงษ์จักษุ
teerapat@cb.ac.th
จตุภูมิ เขตจัตุรัส
jketcha@kku.ac.th
ดาวรุวรรณ ถวิลการ
dawtha@kku.ac.th
ปิยวรรณ ขันชัยภูมิ
Teeapat@cb.ac.th
ณัฐพงษ์ เข่งรอด
Teeapat@cb.ac.th
พันธกานต์ ประจันนวล
Teeapat@cb.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียนในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ 2) พัฒนารูปแบบกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียนในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ 3) ตรวจสอบคุณภาพรูปแบบกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหาในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธีแบ่งการวิจัยออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิจัยประสบการณ์ผู้ใช้ โดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง มีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารและครูจำนวน 12 คน โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง ระยะที่ 2 การสร้างรูปแบบกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียนในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนขนาดเล็ก โดยแบบประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ มีกลุ่มตัวอย่างคือผู้เชี่ยวชาญจำนวน 10 คน โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง และระยะที่ 3 การประเมินคุณภาพของรูปแบบโดยกลุ่มผู้ใช้ มีกลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารจำนวน 36 คน ครูจำนวน 165 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียนในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน สำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก มีการดำเนินกิจกรรมที่หลากหลาย แต่ยังขาดความเป็นระบบ ในบางด้าน 2) รูปแบบกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียนในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน สำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก มีผลการประเมินคุณภาพของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.93, S.D.=0.25) และความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งกลุ่มทฤษฎีและปฏิบัติไม่แตกต่างกันที่นัยสำคัญทางสถิติ ระดับ 0.05 3) ผลการตรวจสอบคุณภาพรูปแบบกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียนโดยกลุ่มผู้ใช้โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.66, S.D.=0.49) <strong> </strong></p>
2025-05-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1500
การประเมินความต้องการจำเป็นและแนวทางการพัฒนาทักษะ การคิดเชิงสัญลักษณ์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2
2025-02-03T10:02:15+07:00
ยุทธพิชัย ข่าทิพย์พาที
yoothapichaikh@gmail.com
นุชรัตน์ เมืองโคตร
yoothapichaikh@gmail.com
จริยา มาตย์นอก
yoothapichaikh@gmail.com
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพที่เป็นจริง สภาพที่ควรจะเป็น และจัดลำดับความต้องการจำเป็นในแนวทางการพัฒนาทักษะการคิดเชิงสัญลักษณ์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 2) ศึกษาปัญหาและข้อจำกัดในการพัฒนาทักษะการคิดเชิงสัญลักษณ์ และ 3) เสนอแนะแนวทางในการพัฒนาทักษะดังกล่าว ใช้การวิจัยแบบผสมผสานเชิงอธิบาย แบ่งการดำเนินการวิจัยเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การศึกษาความต้องการจำเป็นด้วยการเก็บข้อมูลจากครูปฐมวัยจำนวน 30 คน ที่คัดเลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนผ่านแบบประเมินความต้องการจำเป็น 2) การศึกษาปัญหาและข้อจำกัดด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกครูจำนวน 10 คน ที่คัดเลือกแบบเจาะจง ด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และ 3) การเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาทักษะการคิดเชิงสัญลักษณ์ ผ่านการสนทนากลุ่มกับผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัยจำนวน 5 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodified) และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ด้านการแทนค่าความหมายของสัญลักษณ์มีค่าดัชนี PNImodified สูงสุด (0.27) รองลงมาคือด้านการจำแนกประเภท (0.24) และด้านการจัดลำดับ (0.21) แนวทางการพัฒนาที่เสนอ ได้แก่ การจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน เช่น การเล่าเรื่อง การเล่นเกม การทดลอง และการจัดกิจกรรมที่เน้นให้นักเรียนได้แก้ปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งช่วยพัฒนาการคิดเชิงสัญลักษณ์ ผู้เชี่ยวชาญยังเสนอให้สนับสนุนทรัพยากรการเรียนรู้ เช่น การ์ดเกม ตลอดจนการจัดอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพครูให้สามารถออกแบบกิจกรรมที่เหมาะสมกับบริบทของเด็ก การวิจัยนี้เติมเต็มช่องว่างในการพัฒนาทักษะการคิดเชิงสัญลักษณ์ พร้อมทั้งแนวทางการพัฒนาที่ครอบคลุมและใช้ได้จริงในบริบทโรงเรียน ซึ่งจะช่วยพัฒนาการสอนในระดับปฐมวัยได้</p>
2025-05-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1634
การพัฒนาและกำหนดคะแนนจุดตัดของมาตรวัดความฉลาดทางอารมณ์ของพนักงานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
2025-02-13T14:57:43+07:00
ถิรายุ อินทร์แปลง
thirayu.inp@mfu.ac.th
ชัชชญา รัตนเหลี่ยม
thirayu.inp@mfu.ac.th
พุทธิพงศ์ เกสรบัว
thirayu.inp@mfu.ac.th
เยาวนาฏ ไชยสง่าศิลป์
thirayu.inp@mfu.ac.th
ศิประภา ประสงค์
thirayu.inp@mfu.ac.th
ชลิดา พุทธระ
thirayu.inp@mfu.ac.th
สุนทรี สุขคณาภิบาล
thirayu.inp@mfu.ac.th
ปิ่นกนก วงศ์ปิ่นเพ็ชร์ พิบูลแถว
thirayu.inp@mfu.ac.th
มานพ ชูนิล
thirayu.inp@mfu.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาตรวจสอบคุณสมบัติทางจิตมิติของมาตรวัดความฉลาดทางอารมณ์ของพนักงานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และ 2) กำหนดคะแนนจุดตัดของมาตรวัดความฉลาดทางอารมณ์ของพนักงานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเป็นการวิจัยเชิงปริมาณได้ศึกษาแนวคิดการวัดความฉลาดทางอารมณ์ของ Goleman (1995) เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างการวิจัยคือพนักงานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จำนวน 150 คน ใช้วิธีกำหนดขนาดตัวอย่างด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปและการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 1 ชนิดคือมาตรวัดความฉลาดทางอารมณ์แบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 36 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>มาตรวัดความฉลาดทางอารมณ์มีความตรงเชิงเนื้อหา มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ในระดับปานกลาง ถึงระดับสูง มีค่าความเชื่อมั่นอยู่ในระดับสูงและโมเดลความฉลาดทางอารมณ์มีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (IOC=.67-1.00, r=.537-762, 𝛼=.953<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\chi&space;2" alt="equation" />, (4)=4.62, p-value=.328, CFI=.999, TLI=.997, RMSEA=.0322)</li> <li>มาตรวัดความฉลาดทางอารมณ์มีจุดตัด 3 จุดแบ่งระดับความฉลาดทางอารมณ์ออกเป็น 4 ระดับคือ 1) เตรียมความพร้อมที่จะมีความฉลาดทางอารมณ์ 2) เริ่มต้นมีความฉลาดทางอารมณ์ 3) มีความฉลาดทางอารมณ์ และ 4) มีความฉลาดทางอารมณ์สูง</li> </ol> <p> </p>
2025-05-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1545
แนวทางการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา ของโรงเรียนมัธยมศึกษาในเขตตรวจราชการที่ 12
2025-01-27T07:24:51+07:00
สุตัน สีวรรณะ
sutan40962@gmail.com
ฐากร บัวบุตร
thagorn_b@kkumail.com
อภิเดช ธรรมมาสูงเนิน
apa1999aaa@gmail.com
แสงสุรีย์ อินผิว
sangsuree.i@kkumail.com
สุทธิเกียรติ สาระโภค
Kengwer4814@hotmail.com
จตุภูมิ เขตจัตุรัส
jketcha@kku.ac.th
ดาวรุวรรณ ถวิลการ
dawtha@kku.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา และความต้องการของผู้บริหารในด้านการบริหารงานบุคคล 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารงานบุคคล และ 3) เพื่อประเมินความผลแนวทางดังกล่าว เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ได้ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการวิจัยประสบการณ์ผู้ใช้และแนวทางการบริหารงานบุคคลเป็นกรอบการวิจัย การวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิจัยประสบการณ์ผู้ใช้ศึกษาความต้องการ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารสถานศึกษาและครู 15 คน คัดเลือกโดยการเลือกแบบเจาะจง ระยะที่ 2 การพัฒนาแนวทางการบริหารงานบุคคลและประเมินแนวทาง กลุ่มเป้าหมายคือผู้เชี่ยวชาญ 5 คน คัดเลือกโดยการเลือกแบบเจาะจง ระยะที่ 3 การประเมินผลแนวทางการบริหารงานบุคคลโดยใช้ PAACBIE MODEL กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารสถานศึกษาและครู 212 คน คัดเลือกโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้มี 3 ชนิด คือ 1) แบบสอบถามความต้องการ 2) แบบประเมินแนวทาง 3) แบบประเมินผลแนวทาง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้บริหารสถานศึกษาต้องการพัฒนาการบริหารงานบุคคล 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านบทบาท: เลือกคนให้เหมาะสมกับงาน 2) ด้านอารมณ์: พัฒนาทักษะและความรู้ 3) ด้านการรับรู้: ต้องการข้อมูลตำแหน่งและลักษณะงาน 4) ด้านทัศนคติ: ให้ความสำคัญกับทุกตำแหน่ง 5) ด้านพฤติกรรม: สื่อสารขอบเขตงาน ความรับผิดชอบ 2. ผลการพัฒนาได้แนวทางการบริหารงานบุคคล โดยเกิดเป็นแนวทางการบริหารงานบุคคลโดยใช้ PAACBIE Model 7 องค์ประกอบ ผลการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3. การประเมินผลแนวทาง PAACBIE Model โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" /> = 4.55, S.D. = 0.53) องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้คือแนวทางการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา PAACBIE Model มี 7 องค์ประกอบ (Position, Acquaint, Assess, Choose, Bring to, Improve, Evaluation) ช่วยให้ผู้บริหารสามารถบริหารงานบุคคลได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ</p>
2025-05-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1917
ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไป ของมหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา นครศรีธรรมราช
2025-04-07T09:04:25+07:00
ธัชชัย ชูกลิ่น
keekeekee1972@gmail.com
<p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไปของหลักสูตรปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา นครศรีธรรมราช 2) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไปของหลักสูตรปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา นครศรีธรรมราช จำแนกตามข้อมูลทั่วไปของนักศึกษา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยประยุกต์ใช้แนวคิดความพึงพอใจของ Maslow (1970) ร่วมกับแนวคิดการวัดความพึงพอใจของ Somphong & Petdeeton (2019) เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นที่ปี 1-2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 335 คน ซึ่งได้มาโดยใช้ความน่าจะเป็นการสุ่มแบบชั้นภูมิ แบบเป็นสัดส่วน และการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test แบบ Independent ทดสอบความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) และทดสอบความแตกต่างรายคู่โดยใช้วิธี Scheffe’ ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไป พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.54, S.D. 0.32) โดยเรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ดังนี้ ด้านหลักสูตร ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.62, S.D. 0.36) ด้านอาคารสถานที่ สื่อและอุปกรณ์การสอน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.57, S.D. 0.51) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.56, S.D. 0.40) ด้านการวัดและประเมินผล <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.52, S.D. 0.47) ด้านอาจารย์ ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.51, S.D. 0.50) และ ด้านวิธีการสอน ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.49, S.D. 0.42) ตามลำดับ</li> <li>ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไป จำแนกตามข้อมูลทั่วไปของนักศึกษา พบว่า นักศึกษาที่มีคณะ/สาขาวิชาที่กำลังศึกษาต่างกัน มีความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไป แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยนักศึกษาที่ศึกษาในคณะบริหารธุรกิจมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไปในระดับมากที่สุด <p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไปของหลักสูตรปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา นครศรีธรรมราช 2) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไปของหลักสูตรปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา นครศรีธรรมราช จำแนกตามข้อมูลทั่วไปของนักศึกษา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยประยุกต์ใช้แนวคิดความพึงพอใจของ Maslow (1970) ร่วมกับแนวคิดการวัดความพึงพอใจของ Somphong & Petdeeton (2019) เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นที่ปี 1-2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 335 คน ซึ่งได้มาโดยใช้ความน่าจะเป็นการสุ่มแบบชั้นภูมิ แบบเป็นสัดส่วน และการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test แบบ Independent ทดสอบความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) และทดสอบความแตกต่างรายคู่โดยใช้วิธี Scheffe’ ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไป พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.54, S.D. 0.32) โดยเรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ดังนี้ ด้านหลักสูตร ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.62, S.D. 0.36) ด้านอาคารสถานที่ สื่อและอุปกรณ์การสอน ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.57, S.D. 0.51) ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.56, S.D. 0.40) ด้านการวัดและประเมินผล <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.52, S.D. 0.47) ด้านอาจารย์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.51, S.D. 0.50) และ ด้านวิธีการสอน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.49, S.D. 0.42) ตามลำดับ</li> <li>ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไป จำแนกตามข้อมูลทั่วไปของนักศึกษา พบว่า นักศึกษาที่มีคณะ/สาขาวิชาที่กำลังศึกษาต่างกัน มีความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไป แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยนักศึกษาที่ศึกษาในคณะบริหารธุรกิจมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไปในระดับมากที่สุด <p>และนักศึกษาที่มีเพศ และค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่างกัน มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาศึกษาทั่วไปไม่แตกต่างกันซึ่งผลการวิจัยสามารถนำไปพัฒนาและปรับปรุงหมวดวิชาศึกษาทั่วไป และปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนให้ตรงตามความต้องการของผู้เรียน และเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> <p> </p> </li> </ol> </li> </ol>
2025-05-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1483
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสุนทรียสนทนาเพื่อส่งเสริมความสามารถ ในการขับร้องของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศนครปฐม จ.นครปฐม
2025-01-10T19:10:48+07:00
นฤดล จันทรเพ็ชร์
naruedon8@gmail.com
สุรพงษ์ กล่ำบุตร
naruedon8@gmail.com
อุบลวรรณ ส่งเสริม
naruedon8@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสุนทรียสนทนาเพื่อส่งเสริมความสามารถในการขับร้องของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศนครปฐม จ.นครปฐม และ 2) เพื่อประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสุนทรียสนทนาเพื่อส่งเสริมความสามารถในการขับร้องของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศนครปฐม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสารสาน์วิเทศนครปฐม สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ที่กำลังศึกษาภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสุนทรียสนทนาเพื่อส่งเสริมความสามารถในการขับร้องของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศนครปฐม คู่มือการใช้รูปแบบ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินความสามารถในการขับร้อง และแบบสอบถามความพึงพอใจวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสุนทรียสนทนาเพื่อส่งเสริมความสามารถในการขับร้องของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศนครปฐม มีชื่อว่า “PARAS Model” มีคุณภาพสามารถนำไปใช้ได้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง 2) ประสิทธิผลของรูปแบบพบว่า 2.1) หลังใช้รูปแบบนักเรียนมีความสามารถในการขับร้องอยู่ในระดับดี 2.2) หลังใช้รูปแบบนักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบอยู่ในระดับมาก</p>
2025-05-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1330
วิเคราะห์ทฤษฎีสามองค์ประกอบ : ความเหมาะสมในการวัดความผูกพันต่อองค์กร
2025-01-01T17:32:35+07:00
ฐณัฏฐ์ อัฑฒ์ทิวัตถ์ธนา
aump.thanat@gmail.com
<p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทฤษฎีสามองค์ประกอบของ Meyer and Allen เป็นกรอบแนวคิดที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการศึกษาความผูกพันต่อองค์กร โดยแบ่งออกเป็น 3 มิติ ได้แก่ ความผูกพันด้านความรู้สึก (Affective Commitment) ความผูกพันด้านการคงอยู่ (Continuance Commitment) และความผูกพันด้านบรรทัดฐาน (Normative Commitment) ทฤษฎีนี้ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของพนักงานในมิติที่หลากหลายและเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนากลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดอัตราการลาออกของพนักงาน บทความนี้นำเสนอ 1) แนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีสามองค์ประกอบ 2) การพัฒนาเครื่องมือวัด เช่น Organizational Commitment Questionnaire (OCQ) 3) การประยุกต์ใช้ในบริบทต่าง ๆ 4) ข้อดีและข้อจำกัดของทฤษฎี และ 5) แนวโน้มการวิจัยในอนาคตเกี่ยวกับการวัดและพัฒนาความผูกพันต่อองค์กร องค์ความรู้จากบทความนี้จะช่วยให้นักวิจัย นักวิชาการ และผู้บริหารองค์กรสามารถนำไปใช้ในการออกแบบกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้สามารถช่วยในการออกแบบโปรแกรมการพัฒนาบุคลากรที่ตรงกับความต้องการของพนักงานแต่ละกลุ่ม เช่น การสร้างโอกาสในการเติบโตทางอาชีพสำหรับพนักงานที่มีความผูกพันด้านความรู้สึกสูง หรือการปรับปรุงสวัสดิการเพื่อรักษาพนักงานที่มีความผูกพันด้านการคงอยู่ นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาระบบการประเมินผลงานที่สอดคล้องกับระดับความผูกพันของพนักงาน ซึ่งจะช่วยลดอัตราการลาออกและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว</p>
2025-05-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1812
การสื่อสารในโลกสมัยใหม่ : โอกาสและความท้าทายของการศึกษา
2025-04-16T19:00:56+07:00
จุไรรัตน์ วัชราไทย
jurairat.vacharathai@gmail.com
สุมิตร สุวรรณ
Sumit.s@ku.ac.th
พัชราภา ตันติชูเวช
patcharapa.tat@gmail.com
<p> บทความวิชาการนี้ศึกษาการสื่อสารมีบทบาทสำคัญในทุกมิติของการศึกษา ทั้งในกระบวนการเรียนการสอน การบริหารจัดการสถานศึกษา และการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เทคโนโลยีดิจิทัลในโลกสมัยใหม่ได้เข้ามาปรับเปลี่ยนวิธีการสื่อสารทางการศึกษา ทำให้การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา การเข้าถึงข้อมูล และแหล่งความรู้เป็นไปอย่างรวดเร็วและไร้พรมแดน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา ส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์ และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนาระบบการศึกษา อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายหลายประการที่สถานศึกษาต้องเผชิญในการสื่อสารสมัยใหม่ บทความวิชาการนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอ โอกาสและความท้าทายของการสื่อสารในโลกสมัยใหม่ที่ส่งผลต่อการศึกษาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี สังคม และเศรษฐกิจที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสทางการศึกษา ได้แก่ การเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การสร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วม รวมถึงการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสถานศึกษา ส่วนความท้าทายและอุปสรรคที่มาพร้อมกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการศึกษา ได้แก่ ปัญหาด้านความปลอดภัยของข้อมูล การแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ และความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี องค์ความรู้จากบทความมุ่งเน้นให้ผู้อ่านตระหนักถึงทั้งประโยชน์และข้อจำกัดของการสื่อสารดิจิทัลในภาคการศึกษา ตลอดจนแนวทางในการปรับตัวเพื่อใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย เพื่อให้เกิดการสื่อสารที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน<strong> </strong></p> <p><strong> </strong></p>
2025-05-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1428
เทคนิคการผลิตสื่อวิดีโอแชริ่งเพื่อเสริมสร้างทักษะพลเมืองดิจิทัล โดยใช้เอไอคลิปแชมป์ตามแนวคิดปัญหาเป็นฐาน
2025-01-14T07:29:26+07:00
ขวัญชนก ประทุมทอง
ampratoomthong@gmail.com
อุทิศ บำรุงชีพ
uthit.505@gmail.com
<p> บทความวิชาการนี้มุ่งเน้นการใช้เทคนิคการผลิตสื่อวิดีโอแชริ่งเพื่อเสริมสร้างทักษะพลเมืองดิจิทัล โดยใช้โปรแกรมคลิปแชมป์ (Clipchamp) ซึ่งเป็น<strong>ปัญญาประดิษฐ์เสริมการเรียนรู้</strong> เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนในยุคที่สื่อสังคมออนไลน์เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างและแบ่งปันสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ได้โดยบูรณาการเรียนการสอนตามแนวคิดปัญหาเป็นฐาน บทความนี้ผู้เขียนจะนำเสนอ 1) วิเคราะห์ศักยภาพของคลิปแชมป์ ในการสร้างสื่อดิจิทัล 2) ศึกษาผลกระทบของการใช้คลิปแชมป์ ต่อทักษะการแก้ปัญหาและการทำงานร่วมกันของนักเรียน 3) พัฒนาแนวทางการนำคลิปแชมป์ ไปใช้ในกระบวนการเรียนการสอน และ 4) ประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนหลังจากการใช้โปรแกรม</p> <p>การใช้วิดีโอแชริ่งจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครีเอเตอร์นำเสนอเนื้อหาได้อย่างหลากหลาย เทคโนโลยีเอไอ คลิปแชมป์ พัฒนาโดยไมโครซอฟท์ ช่วยให้การตัดต่อวิดีโอเป็นเรื่องง่าย ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ก็สามารถใช้งานได้ เพราะสามารถรวมวิดีโอ รูปภาพ และเสียงที่สร้างจากเอไอได้ ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถสร้างสื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพได้ในระยะเวลาอันสั้น โปรแกรมคลิปแชมป์ มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างสื่อการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน ช่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาและทักษะการทำงานร่วมกัน การใช้โปรแกรมนี้ช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้สื่ออย่างถูกต้องตามกฎหมายและการไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเป็นพลเมืองดิจิทัล</p>
2025-05-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1572
ปฏิวัติการเรียนรู้กราฟิกดีไซน์ด้วย เอไอ ฟายน์เออะไฟน์ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน สู่การออกแบบที่ไม่รู้จบ
2025-01-30T07:55:31+07:00
ปรียาภรณ์ แก้วคำรอด
name0805606360@gmail.com
อุทิศ บำรุงชีพ
uthit.505@gmail.com
<p> บทความวิชาการนี้นำเสนอสาระที่แสดงให้เห็นถึงการปฏิวัติการเรียนการสอนกราฟิกดีไซน์ในระดับอาชีวศึกษา ผ่านการบูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เอไอ ฟายน์เออะไฟน์ (AI Firefly <a href="#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a>) เข้ากับการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning: PBL) จากประสบการณ์การสอนในสาขาดิจิทัลกราฟิก พบว่าการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมที่เน้นการฝึกปฏิบัติซ้ำๆ ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานยุคดิจิทัลได้อย่างแท้จริง การนำ เอไอ ฟายน์เออะไฟน์ มาผสานกับ PBL จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้ผ่านการแก้ปัญหาจริง โดยมี AI เป็นเครื่องมือช่วยสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีเวลาทุ่มเทกับการคิดวิเคราะห์และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น จากการศึกษาพบว่า เอไอ ฟายน์เออะไฟน์ มีคุณสมบัติโดดเด่นในการสร้างภาพและกราฟิกแบบอัตโนมัติที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแม่นยำ สามารถทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ออกแบบมาตรฐานที่ผู้เรียนใช้อยู่แล้วได้อย่างราบรื่น และมีอินเทอร์เฟซที่เหมาะกับผู้เรียน เมื่อนำมาใช้กับ PBL จึงช่วยกระตุ้นให้นักศึกษาได้พัฒนาทั้งทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการทำงานเป็นทีม ผ่านการทดลองสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่มีขีดจำกัด แม้จะมีข้อจำกัดบางประการ แต่การบูรณาการ เอไอ ฟายน์เออะไฟน์ กับ PBL ก็นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการศึกษาด้านกราฟิกดีไซน์ของนักศึกษาสาขาดิจิทัลกราฟิกในระดับอาชีวศึกษา ให้สามารถผลิตบุคลากรที่มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายในยุคดิจิทัลได้อย่างแท้จริง</p> <p> </p> <p><a href="#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> Adobe Firefly เป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านการออกแบบที่พัฒนาโดย Adobe Inc. บริษัทซอฟต์แวร์สร้างสรรค์ชั้นนำของโลก ก่อตั้งในปี 1982 โมเดลทางธุรกิจหลักคือ ระบบสมัครสมาชิก (Subscription-Based Model) ผ่าน Adobe Creative Cloud Firefly เปิดตัวในปี 2023 โดยเน้นการสร้างภาพและกราฟิกด้วย AI ที่ฝึกจากข้อมูลที่ได้รับอนุญาต</p>
2025-05-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์