วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR <p><strong><span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">ISSN 3057-076X</span> <span class="OYPEnA font-feature-liga-off font-feature-clig-off font-feature-calt-off text-decoration-none text-strikethrough-none">(Online)</span></strong></p> <p><strong> </strong></p> สมาคมสังคมศึกษาสัมพันธ์ th-TH วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ 3057-076X <p>บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร</p> ความเสมอภาคทางการศึกษา : โอกาสการเข้าถึงและคุณภาพ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1837 <p> บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและโอกาสทางสังคมของประชากร แม้ว่าประเทศไทยจะมีนโยบายและกฎหมายที่สนับสนุนการศึกษาสำหรับทุกคน แต่ในทางปฏิบัติยังมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่เป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ความเสมอภาคทางการศึกษาใน 4 ประเด็น ได้แก่ 1) การเข้าถึงการศึกษาสำหรับทุกกลุ่มประชากร ซึ่งมีความท้าทายโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและกลุ่มเปราะบางทั้งเด็กยากจนและเด็กต่างด้าว 2) คุณภาพการศึกษาที่เท่าเทียมกัน ซึ่งได้รับผลกระทบจากความแตกต่างของทรัพยากรระหว่างโรงเรียนในเมืองและชนบท 3) การสนับสนุนทางเศรษฐกิจและสังคม โดยสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวมีผลโดยตรงต่อโอกาสทางการศึกษา และ 4) ระบบวัดและประเมินผลที่เป็นธรรมและครอบคลุม ซึ่งยังคงใช้มาตรฐานเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงบริบทที่แตกต่างกันของผู้เรียน นอกจากนี้ยังได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาในการเสริมสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้แบบปรับตัว (Adaptive Learning Technology) เพื่อลดอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาครูและหลักสูตรให้เหมาะสมกับผู้เรียนที่หลากหลาย โดยใช้แนวคิดโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ (School as Learning Community) การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการสนับสนุนการศึกษาโดยการถอดบทเรียนจากประเทศนิวซีแลนด์ และการออกแบบระบบการประเมินผลที่ยืดหยุ่นและสะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของผู้เรียนโดยการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ซึ่งจะเป็นแนวทางที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมการจัดการศึกษาให้เท่าเทียมและมีคุณภาพต่อไป</p> <p> </p> รัตนาภรณ์ เชยชิต สุมิตร สุวรรณ พัชราภา ตันติชูเวช Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 1 5 10 หน้า 10 หน้า 10.64186/jsp1837 การออกแบบและนำเสนอสื่อการสอนอย่างสร้างสรรค์ด้วยเอไอวีพิคเพื่อเสริมสร้าง ทักษะพุทธิพิสัยของผู้เรียน https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1553 <p> บทความวิชาการนี้เป็นการศึกษาการออกแบบและนำเสนอสื่อการสอนอย่างสร้างสรรค์โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เอไอวีพิค (AI Wepik) เพื่อเสริมสร้างทักษะพุทธิพิสัยของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 โดยทักษะพุทธิพิสัยครอบคลุมการพัฒนาความรู้และการคิดในระดับสูง เช่น ความจำ ความเข้าใจ การวิเคราะห์ และการประเมินผล การใช้เอไอวีพิค ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI ช่วยให้ผู้สอนสามารถออกแบบสื่อการสอนที่มีคุณภาพและความสวยงาม โดยเอไอวีพิค มาพร้อมกับคุณสมบัติหลากหลาย เช่น การปรับแต่งเทมเพลตที่หลากหลายตามความต้องการของเนื้อหา ฟังก์ชันการปรับแต่งที่ยืดหยุ่น และการใช้อัลกอริธึมเพื่อเสนอการออกแบบที่เหมาะสม นอกจากนี้ เอไอวีพิคยังสามารถสร้างภาพประกอบและกราฟิกอย่างรวดเร็ว สนับสนุนการเลือกองค์ประกอบของสื่อที่ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนและสอดคล้องกับเนื้อหา อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ และการคิดเชิงนวัตกรรมของผู้เรียน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการออกแบบสื่อช่วยให้เกิดความสะดวกและยืดหยุ่นในการนำเสนอเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจ ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้</p> ภราดร พากเพียร อุทิศ บำรุงชีพ Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 1 5 12 หน้า 12 หน้า 10.64186/jsp1553 การบริหารงานวิชาการตามแนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัล https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1773 <p> บทความวิชาการนี้วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานวิชาการตามแนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัล 2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการตามแนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัล และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการตามแนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัล ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการศึกษา การบริหารงานวิชาการจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวทางให้สอดคล้องกับการเรียนรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี แนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัลจึงได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นแนวทางไปสู่การพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างปลอดภัย มีจริยธรรม และมีประสิทธิภาพ บทความวิชาการนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอแนวคิดและความสำคัญ ขอบข่าย และองค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการตามแนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัล องค์ความรู้จากบทความนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริหารสถานศึกษาและหน่วยงานทางการศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารสถานศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล</p> ภรณ์ทิพย์ ปั้นก้อง พรรณี เทพสูตร วรรณรี ปานศิริ Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 1 5 12 หน้า 12 หน้า 10.64186/jsp1773 องค์กรแห่งความสุขของครูในโลกยุคใหม่ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1808 <p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาองค์กรแห่งความสุขสำหรับครูในโลกยุคใหม่เป็นแนวทางสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อช่วยลดภาวะหมดไฟในการทำงานของครู การดูแลสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจของครูถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสุขในการทำงาน ผ่านการนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับ 1) ความสัมพันธ์ระหว่างความสุขของครูกับการพัฒนาการศึกษา 2) ปัญหาภาวะหมดไฟในการทำงาน และผลกระทบต่อการศึกษา 3) มุมมององค์กรแห่งความสุขอในสถานศึกษาต่างประเทศ 4) องค์ประกอบขององค์กรแห่งความสุข 5) แนวทางในการพัฒนาองค์กรแห่งความสุขของครูในสถานศึกษาของประเทศไทย โดยการถอดบทเรียนจากประเทศที่เป็นเลิศด้านการศึกษา ซึ่งให้ความสำคัญกับองค์กรแห่งความสุขของครู มุ่งเน้นไปที่การสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการพัฒนาและความสุขในการทำงานของครู ซึ่งจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการสอนและคุณภาพการศึกษา ซึ่งจะทำให้ครูมีความสุขในการทำงานและส่งผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในประเทศไทยในระยะยาว</p> พิชชาพร เจริญยิ่ง พัชราภา ตันติชูเวช อรอุษา ปุณยบุรณ Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 1 5 14 หน้า 14 หน้า 10.64186/jsp1808 การพัฒนารูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบมีส่วนร่วมของเครือข่ายสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 1 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1838 <p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบมีส่วนร่วมจากเครือข่ายสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 1 โดยศึกษาแนวคิดการพัฒนารูปแบบ ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และเครือข่ายสถานศึกษาเป็นกรอบการวิจัย แหล่งข้อมูลในการวิจัยคือเอกสารที่เกี่ยวข้อง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน ที่เลือกมาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มี 3 ชนิด คือ 1) แบบบันทึก 2) แบบประเมินร่างรูปแบบ 3) แบบประเมินร่างคู่มือการใช้รูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการบริหารที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบหลัก 6 ประการ ได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) เนื้อหาของรูปแบบ 4) กระบวนการดำเนินงาน 5) การวัดประเมินผล 6) เงื่อนไขความสำเร็จ โดยผลการสร้างรูปแบบการบริหารอยู่ในระดับมากที่สุด องค์ความรู้จากงานวิจัยนี้คือสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาอื่นๆ ได้ และการพัฒนารูปแบบที่มีประสิทธิภาพจะช่วยส่งเสริมและพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p> <p> </p> วิภา สายรัตน์ Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 1 5 12 12 10.64186/jsp1838 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/1918 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดการเรียนรู้ของครู สังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ได้ศึกษาระเบียบวิธีการวิจัยการพัฒนาหลักสูตรตามแนวคิดของ Saylor and Alexander (1974) ร่วมกับแนวคิดกระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน ขั้นตอนที่ 2 การออกแบบและพัฒนาหลักสูตร ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้หลักสูตร และ ขั้นตอนที่ 4 การประเมินผลและปรับปรุงหลักสูตร เป็นกรอบการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 เป็นครูที่ปฏิบัติการสอน สังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช จำนวน 364 คน และ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสําคัญจากการสัมภาษณ์ จํานวน 16 คน กลุ่มที่ 2 เป็นครูที่ปฏิบัติการสอน สังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ที่สมัครใจเข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 30 คน กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองใช้หลักสูตร เป็นครูที่ปฏิบัติหน้าที่โรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จํานวน 30 คน และกลุ่มที่ 4 เป็นครูที่ผ่านการฝึกอบรมในขั้นตอนการทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรม จํานวน 2 คน และ กลุ่มที่ 5 คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 6/1 จํานวน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ 2) สัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง 3) แบบประเมินการฝึกปฏิบัติ 4) แบบทดสอบ 5) แบบประเมินความเหมาะสมของโครงร่างลักสูตร 6) แบบประเมินความเหมาะสมของหลักสูตร 7) แบบประเมินความสอดคล้องของหลักสูตร และ 8) แบบสังเกตพฤติกรรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสารสนเทศและการสื่อสาร มีความต้องการจำเป็นมากที่สุด (ค่า PNI = 0.092) รองลงมา คือ ด้านการจัดการชั้นเรียน (ค่า PNI = 0.089) ด้านการการออกแบบการจัดการเรียนรู้ (ค่า PNI = 0.086) และ การวัดปละประเมินผลการเรียนรู้ (ค่า PNI = 0.084) จากการพิจารณาความต้องการจำเป็นโดยใช้ค่า PNI Modified พบว่าทั้ง 4 ด้านมีค่าเกินร้อยละ 5 (PNI &gt; 0.05) ซึ่งเป็นค่าที่อยู่ในระดับยอมรับได้ สำหรับนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมในละดับต่อไป</li> <li>ผลการออกแบบและพัฒนาหลักสูตร พบว่า การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานช่วยให้สามารถออกแบบและเขียนโครงร่างหลักสูตรภายใต้รูปแบบการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดการเรียนรู้ของครู โดยสามารถกําหนดเนื้อหา กิจกรรม สื่อและการประเมินผลได้สอดคล้องกับความต้องการและสภาพการนําไปใช้ในชั้นเรียนได้จริง ส่งผลให้องค์ประกอบของโครงร่างหลักสูตรมีความเหมาะสมและสอดคล้องกันทุกองค์ประกอบ</li> <li>ผลการทดลองใช้หลักสูตร พบว่า หลักสูตรมีประสิทธิภาพ มีค่าเท่ากับ 24/85.55 อีกทั้งยังพบว่า ผู้เข้าอบรมมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจัดการเรียนรู้หลังฝึกอบรมสูงกว่าก่อนฝึกอบรมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิตที่ระดับ 0.05</li> <li>ผลการประเมินผลและปรับปรุงหลักสูตร พบว่า หลักสูตรมีความเหมาะสมและสอดคล้องกันทุกองค์ประกอบ และมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กําหนดไว้</li> </ol> ยุพมาศ สุขใส Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 1 5 13 หน้า 13 หน้า 10.64186/jsp1918 การศึกษาสภาพ ความต้องการจำเป็น และแนวทางการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ของสถานศึกษานำร่องในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/J_SSR/article/view/2218 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ 2) ประเมินความต้องการจำเป็น และ 3) พัฒนาแนวทางการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ของสถานศึกษานำร่องในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 45 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง และ ครูปฐมวัย จำนวน 75 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบมีระบบ รวมทั้งสิ้น 120 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามเพื่อการวิจัย และ 2) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าดัชนีการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่พึงประสงค์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2.) ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ของสถานศึกษานำร่องในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยภาพรวม โดยเรียงลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการออกแบบและพัฒนาหลักสูตร ด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตร ด้านการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร ด้านการมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และด้านการบริหารจัดการหลักสูตร 3. การประเมินแนวทางการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 ในสถานศึกษานำร่องจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก โดยมีข้อเสนอแนะสำคัญดังนี้ 1) จัดเวิร์กชอปหรือ PLC ให้ครูและผู้บริหารร่วมออกแบบหลักสูตรที่สอดคล้องบริบทท้องถิ่นและเป้าหมายหลักสูตร 2) อบรมเชิงปฏิบัติการให้ครูทุกคนในสถานศึกษานำร่อง เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องเป้าหมาย ความสามารถ และพัฒนาการเด็ก 4 มิติ 3) พัฒนาชุดกิจกรรมต้นแบบที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นและยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง 4) จัดประชุมหรืออบรมผู้ปกครองให้เข้าใจหลักสูตรใหม่และบทบาทในการสนับสนุนลูก และ 5) พัฒนาระบบติดตามและประเมินผลที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับระดับปฐมวัย</p> วัชรภัทร เตชะวัฒนศิริดำรง Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศึกษาปริทรรศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-09 2025-08-09 1 5 13 หน้า 13 หน้า 10.64186/jsp2218