ความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับอารมณ์กับภาวะหมดไฟของเจ้าหน้าที่ ที่ทำงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาระดับของภาวะหมดไฟของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ 2) ศึกษาระดับการกำกับอารมณ์ของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ 3) เพื่อเปรียบเทียบการกำกับอารมณ์กับภาวะหมดไฟของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 4) เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับอารมณ์กับภาวะหมดไฟของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 136 คน เครื่องมือ คือ ชุดแบบสอบถามภาวะหมดไฟในการทำงานสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จำนวน 3 ตอน ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามภาวะหมดไฟในการทำงาน และแบบสอบถามการกำกับอารมณ์ มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.66 - 1.00 และมีค่า Cronbach’s Alpha เท่ากับ 0.846 และ 0.922 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์การแปรปรวนทางเดียว และค่าสหสัมพันธ์ เพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับภาวะหมดไฟ ด้านการลดความเป็นบุคคล และด้านการลดความสำเร็จส่วนบุคคล อยู่ในระดับสูง ส่วนด้านความอ่อนล้าทางอารมณ์ อยู่ในระดับปานกลาง 2) ระดับการกำกับอารมณ์โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 3) การเปรียบเทียบการกำกับอารมณ์กับภาวะหมดไฟ พบว่า ผู้ที่มีเพศแตกต่างกัน มีอายุแตกต่างกัน มีระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีอายุงานแตกต่างกัน และมีเงินเดือนแตกต่างกัน มีระดับภาวะหมดไฟ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ 4) ภาวะหมดไฟมีความสัมพันธ์กับการกำกับอารมณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
References
กรมประชาสัมพันธ์. (2565). สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ในประเทศไทย พ.ศ. 2563 – 2565. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก
กรมสุขภาพจิต. (2565). ผลวิจัยพบ บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐที่ทำงานมากกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และมีความยืดหยุ่นทางจิตใจต่ำมีโอกาสเกิดภาวะ
หมดไฟเพิ่มขึ้น. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก https://www.thaidmh-elibrary.org/
ณัฏฐลิณ คุ้มรอด และรังสิมันต์ สุนทรไชยา. (2560). ผลของโปรแกรมการกำกับอารมณ์ต่ออาการซึมเศร้าของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า. วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต,
(2), 136 – 152.
ทิพรัตน์ บำรุงพนิชถาวร, วัลลภ ใจดี, เอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์, และนิภา มหารัชพงศ์. (2565). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อภาวะหมดไฟในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ในโรง
พยาบาลชุมชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19. วารสารสาธารณสุข มหาวิทยาลัยบูรพา, 17(1), 100 – 110.
นครินทร์ ชุนงาม. (2563). สุขภาพจิตและภาวะหมดไฟในการทำงานของแพทย์ในโรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนจังหวัดนครราชสีมา. วารสารสุขภาพจิตแห่ง
ประเทศไทย, 28(4), 348 – 359.
นเรนทร์ฤทธิ์ คำภีระนันท์. (2566). ความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับอารมณ์ในงานและภาวะหมดไฟในงานของพยาบาลวิชาชีพ : บทบาทการเป็นตัวแปรปรับของการรับรู้การ
สนับสนุนจากหัวหน้างานและการรับรู้การสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
นิศากร กะการดี, อารี ชีวเกษมสุข, และดวงกมล ไตรวิจิตรคุณ. (2563). ความเหนื่อยหน่ายในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพเจนเนอเรชั่นวายโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง.
วารสารพยาบาลทหารบก, 21(1), 293 - 301.
สถาบันฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสุขภาพจิตชุมชน. (2566). ผลการวิเคราะห์ฐานข้อมูล (MHCI). (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก
https://preventmedthai.org/sect4/
Cohut, M., & Hounsell, K. (2022). Burnout: Facing the damage of chronic workplace stress. Medical News Today. Retrieved from
https://www.medicalnewstoday.com/articles/325943
Kraiss, J. T., Ten Klooster, P. M., Moskowitz, J. T., & Bohlmeijer, E. T. (2020). The relationship between emotion regulation and well-being in
patients with mental disorders: A meta-analysis. Comprehensive Psychiatry, 102, 152189.
Krejcie, R.V., & D.W. Morgan. (1970). “Determining Sample Size for Research Activities”. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607 –
Mestre, J. M., Núñez-Lozano, J. M., Gómez-Molinero, R., Zayas, A., & Guil, R. (2017). Emotion Regulation Ability and Resilience in a Sample of
Adolescents from a Suburban Area. Frontiers in psychology, 8, 1980.
Ratnam, K., Alias, A., Toran, H. (2018). Pengetahuan dan Amalan Aktiviti Perbualan Pagi oleh Guru Prasekolah Pendidikan Khas Bermasalah
Pembelajaran (PPKBP). Jurnal Pendidikan Malaysia SI, 1(1), 59 - 66.
Additional Files
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สมาคมจิตวิทยาแนะแนวแห่งประเทศไทย
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับสมาคมจิตวิทยาแนะแนวแห่งประเทศไทย และบุคลากรท่านอื่น ๆ ใน สมาคมฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว