วารสารการวิจัยและพัฒนา กรมการพัฒนาชุมชน

การขับเคลื่อนหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” ของชุมชนสองวิถี บ้านหน้าถ้ำ ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา

UTAIPHUN SINGKAEW — 2025-09-30

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทชุมชนสองวิถีบ้านหน้าถ้ำ ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา 2) เพื่อศึกษาการดำเนินงานการขับเคลื่อนหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” ของชุมชนสองวิถีบ้านหน้าถ้ำ ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา และ 3) เพื่อถอดบทเรียนปัจจัยความสำเร็จของชุมชนสองวิถีบ้านหน้าถ้ำ ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ผลการวิจัยพบว่า เป็นชุมชนโบราณที่มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างไทยพุทธกับไทยมุสลิม มีผู้นำ 4 เสาหลัก คณะกรรมการหมู่บ้านและครัวเรือน ที่ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง มีการบริหารจัดการชุมชน บูรณาการการดำเนินงานเป็นรูปธรรม มีกรมการพัฒนาชุมชนและภาคีภาครัฐ ร่วมขับเคลื่อนหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง “อยู่เย็น เป็นสุข” มีการรวมกลุ่ม จัดตั้งกลุ่มอาชีพ เพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืน มุ่งเน้นให้ครัวเรือนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถพึ่งพาตนเองได้ตลอดจนมีความรับผิดชอบต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ประชาชนในหมู่บ้านน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิบัติจนเป็นวิถีชีวิตการสร้างความมั่นคงทางอาหาร การสร้างสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน ที่สำคัญชุมชนสองวิถีบ้านหน้าถ้ำ มีส่วนร่วมของคนในชุมชน การมีส่วนร่วมของประชาชน เกิดจากทุนเดิมของชุมชนระบบเครือญาติ ที่มีความสามัคคี เอื้ออารี เกื้อกูลกันอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข ปกติสุขในสังคม การช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่าง สองวิถี สองศาสนา

รูปแบบการพัฒนาศูนย์เรียนรู้เกษตร “สวนผักแบ่งปัน” บนฐานทุนชุมชน ชุมชนบ้านถลุงเหล็ก หมู่ที่ 5 ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

CapSutamas Amarin — 2025-09-30

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัญหาและอุปสรรค และความต้องการในการพัฒนา ศูนย์เรียนรู้เกษตร “สวนผักแบ่งปัน” และทุนชุมชน ชุมชนบ้านถลุงเหล็ก หมู่ที่ 5 ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (2) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาศูนย์เรียนรู้เกษตร “สวนผักแบ่งปัน” บนฐานทุนชุมชน ชุมชนบ้านถลุงเหล็ก หมู่ที่ 5 ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ (3) เพื่อประเมินรูปแบบการพัฒนาศูนย์เรียนรู้เกษตร “สวนผักแบ่งปัน” บนฐานทุนชุมชน ชุมชนบ้านถลุงเหล็ก หมู่ที่ 5 ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) โดยใช้ระเบียบ วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Method) ผู้ให้ข้อมูลในการวิจัย คือ ผู้ที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนงานหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินงานศูนย์เรียนรู้เกษตรสวนผักแบ่งปัน ชุมชนบ้านถลุงเหล็ก หมู่ที่ 5 ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 15 คน โดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling)

ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาและอุปสรรคของการพัฒนาศูนย์ฯ คือ (1) ปัญหาด้านสถานที่ (2) สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปของศูนย์ฯ (3) ไม่มีการจัดการความรู้ (4) งบประมาณในการบริหารจัดการ (5) เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมน้อย (6) ไม่มีแผนการดำเนินงานประจำปีของศูนย์ฯ (7) ขาดการได้รับความรู้ และ (8) การได้รับการสนับสนุน จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไม่ต่อเนื่อง และมีความต้องการที่จะพัฒนาศูนย์ 8 ประเด็น ได้แก่ (1) สภาพแวดล้อมพื้นที่ให้เหมมาะสมกับการเป็นศูนย์เรียนรู้ (2) การพัฒนาองค์ความรู้และทักษะ (3) ความต้องการด้านการจัดการความรู้ (4) แก้ไขปัญหาน้ำแล้ง (5) การพัฒนาอาคารสถานที่ (6) การพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ของศูนย์ฯ (7) การได้รับความช่วยเหลือด้านงบประมาณจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน (8) เยาวชนหรือกลุ่มคนในวัยแรงงานเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนงานของศูนย์ฯ อีกทั้งพบว่า ชุมชนบ้านถลุงเหล็กมีทุนชุมชนที่สามารถนำมาเป็นฐานในการพัฒนาศูนย์เรียนรู้เกษตร “สวนผักแบ่งปัน” ทุน 5 ด้าน ได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนสังคม ทุนธรรมชาติ ทุนกายภาพ และทุนเงิน 2.การสร้างรูปแบบการพัฒนาศูนย์เรียนรู้เกษตร “สวนผักแบ่งปัน” บนฐานทุนชุมชน ชุมชนบ้านถลุงเหล็กหมู่ที่ 5 ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีขั้นตอนดังนี้ คือ 1) ศึกษาค้นคว้าข้อมูลพื้นฐาน 2) กำหนดหลักการ เป้าหมาย และองค์ประกอบ 3) กำหนดแนวทางการนำไปใช้ 4) การประเมินรูปแบบ สู่รูปแบบการพัฒนาศูนย์เรียนรู้เกษตร “สวนผักแบ่งปัน” บนฐานทุนชุมชน ชุมชนบ้านถลุงเหล็กหมู่ที่ 5 ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (1) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ (2) หลักการของรูปแบบ (3) ระบบงานและกลไก (4) วิธีการดำเนินงานหรือกิจกรรม และ (5) เงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้ 3. การประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากที่สุด พบว่า ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความเป็นประโยชน์และรองลงมา คือ ด้านความเหมาะสม ส่วนด้านความเป็นไปได้มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด

Participation in the drive Don Phut Model With the philosophy of self-sufficiency economy.

กฤษดา โพธิ์งาม — 2025-09-30

The purpose of this research was to study the performance of the Participation in the drive Don Phut Model with the philosophy of Sufficiency Economy to study the Don Phut model. model Participation in the drive Don Phut Model, Performance and Problems Obstacles of the Don Phut Model and evaluate the participation in the driving Don Phut Model Using a qualitative research model (Qualitative Research) Specific selection methods (Purposive Sampling) Key informants include: Target audience and key contributors Sheriff, bailiff District, District, District, District Development District Community Development Officer, Local Network Partners and 20 representatives of farmer households in Don Phut district. By conducting in-depth interviews, analyzing data by analyzing content. The results of this research show that:

1) The Don Phut Model is a guideline for solving problems for local people, which is a collaborative effort by various sectors to create sustainable solutions and is an integrated operation, which is the main mechanism that makes the Don Phut Model successful. The Don Phut Model concept is therefore a concept developed under the concept of creating a social enterprise business to solve the income problems of local people in Don Phut District by developing the area in all dimensions, including changing the form of single-crop farming to high-value farming using organic innovation from upstream, midstream, and downstream to increase the value of products and improve the quality of life of local people.

2) Participation in driving the Don Phut Model is the participation of all sectors, especially the public sector, most of whom are farmers who grow vegetables as their capital. This will help in experimenting with growing high-value crops and is a good opportunity to pass on to those interested in pursuing a career in agriculture to participate in driving the Don Phut Model. This is done by building confidence from Don Phut Enterprise Co., Ltd., which has a policy of promoting the planting of high-value vegetables, namely Moringa vegetables, which are easy to care for and do not require complicated steps. They can generate income for local people, with government agencies and network partners providing advice on vegetable plot management and contacting for various related standards for farmers.

3) Performance and problems/obstacles of the Don Phut Model Since the budget of government agencies is a major limitation in solving problems, especially spatial problems, the Don Phut Model was created to solve the problems of the area sustainably and reduce household expenses, improve people's health, and return good things to society by providing scholarships to students, supporting scout uniforms, and supporting medical equipment for Don Phut Hospital. This can be considered a sustainable way to increase income for farmers in the area. Problems and obstacles in the operation are: marketing (some plots do not purchase products on time), product standards, and people lack confidence. If they buy more, they will not be able to produce in time. The solution is to make a clear planting calendar. In addition, there is a problem of insufficient income because there are regular expenses that need to be spent on accessing the market in a wide range. Income is low compared to expenses. There is also a problem of lack of knowledge and understanding: Some stakeholders still lack knowledge and understanding of the Don Phut Model, which affects their participation in driving the Don Phut Model.

การจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรพืชสมุนไพรพื้นถิ่น โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนฮักน้ำจาง อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง

saranya papluk — 2025-09-30

            งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากหลายของทรัพยากรพืชสมุนไพรพื้นถิ่น และจัดทำฐานข้อมูลความหลากหลายของทรัพยากรพืชสมุนไพรพื้นถิ่นชุมชนฮักน้ำจาง อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มเกษตรกรบ้านนากว้าว ตำบลบ้านกิ่ว และเจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนลำปาง รวม 25 คน เก็บรวบรวมข้อมูลแบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้างและการสนทนากลุ่ม ร่วมกับการสังเกตแบบมีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา
          ผลการวิจัยพบว่า
          1. พืชสมุนไพรพื้นถิ่นที่สำรวจพบในชุมชนฮักน้ำจาง จำนวน 200 ชนิด แบ่งเป็นไม้ล้มลุก 67 ชนิด ร้อยละ 33.5 ไม้พุ่ม 45 ชนิด ร้อยละ 22.5 ไม้ต้น 44 ชนิด ร้อยละ 22 ไม้เลื้อย 29 ชนิด ร้อยละ 14.5 หัวใต้ดิน 13 ชนิด ร้อยละ 6.5 ไผ่ 1 ชนิด ร้อยละ 0.5 และเฟิร์น 1 ชนิด ร้อยละ 0.5 ตามลำดับ โดยมีการนำพืชสมุนไพรแต่ละชนิดมาใช้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน ทั้งด้านยา อาหาร การใช้สอย และความเป็นพิษ
2. พืชสมุนไพรพื้นถิ่นชุมชนฮักน้ำจาง ที่พบจากการเรียนรู้ สำรวจ ทดลองใช้ และจัดการความรู้ ได้จัดทำฐานข้อมูลที่แสดงข้อมูลพืชสมุนไพรและองค์ความรู้การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ภูมิปัญญาในพื้นที่ เพื่อตอบสนองต่อการวางแผนทางเลือกและสร้างโอกาสการพัฒนาทุกมิติบนฐานทรัพยากรอย่างยั่งยืน

คำสำคัญ: พืชสมุนไพร, กระบวนการมีส่วนร่วม, ฐานข้อมูล

การบริหารจัดการขวัญและกำลังใจของพนักงานเทศบาลตำบลวัฒนานคร อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว

Teerawat Chinsa — 2025-09-30

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงานเทศบาลตำบลวัฒนานคร อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว และเพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงาน เทศบาลตำบลวัฒนานคร อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล เป็นวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานเทศบาลตำบลวัฒนานคร รวมทั้งหมด 35 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบโดยใช้ t-test และ F-test แบบ One - Way ANOVA หากพบความแตกต่างที่มีคู่นัยสำคัญจะทำการวิเคราะห์เป็นรายคู่ โดยวิธีของ LSD ผลการศึกษาพบว่า ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงานเทศบาลตำบลวัฒนานคร อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ภาพรวมอยู่ระดับสูง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ด้านการปกครองบังคับบัญชา และด้านนโยบายและการบริหาร อยู่ระดับสูงมาก ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน อยู่ระดับสูง และด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการ อยู่ระดับปานกลาง ส่วนผลการศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อขวัญและกำลังใจของพนักงานเทศบาลตำบลวัฒนานคร อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานแตกต่างกัน ในขณะปัจจัยส่วนบุคคลพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มี เพศ อายุ ตำแหน่งงาน สถานภาพ และระยะเวลาในการปฏิบัติงานแตกต่างกัน มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานไม่แตกต่างกัน

แนวทางการพัฒนาชุมชนตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบบ้านบางเตา ตำบลบางสวรรค์ อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ชลธิรา คนซื่อ — 2025-09-30

Abstract

The objectives of this research are to study: 1) To study the community development guidelines according to the Sufficiency Economy Philosophy of the Sufficiency Economy Village model Ban Bang Tao. Bang Sawan Subdistrict, Phra Saeng District, Surat Thani Province 2) To study the conditions of community development according to the Sufficiency Economy Philosophy of the Sufficiency Economy Model Village, Ban Bang Tao. Bang Sawan Subdistrict, Phra Saeng District, Surat Thani Province It is qualitative research using interviews and non-participant observation. From 5 key informants through purposive selection. Data analysis using content analysis

From the study, it was found that 1) the conditions of community development according to the Sufficiency Economy Philosophy of the model Sufficiency Economy Village, Ban Bang Tao. Bang Sawan Subdistrict, Phra Saeng District, Surat Thani Province Which includes: 1. Economic aspect: People in the community saw this problem and thought of solving the problem on their own. Villagers see that their community is outstanding in agriculture. and preferred farming as the main focus, so initiated integrated farming according to the principles of sufficiency economy. 2. Social aspect: To be self-reliant according to the principles of sufficiency economy, we must be able to help each other. Therefore, it is not enough for us to be successful alone, but we must have relationships with others. We must help each other, that is, help each other without expecting results. 3. Environmental aspect. It is necessary for villagers to see the importance of community resources as very valuable assets of the community. Villagers have to learn how to manage their own area in order to make the most use of their own area. 4. Technology. The community will use the wisdom of the traditional community, which is to use fertilizer to grow vegetables. We will not use chemical fertilizer. and that humans must adapt To match the natural conditions that are always changing Locally appropriate technology

Guidelines for community development for self-reliance according to the principles of sufficiency economy in the Ban Bang Tao community. Bang Sawan Subdistrict, Phra Saeng District, Surat Thani Province Which consists of 1. Moderation, moderation in production. It is a suitable way to grow vegetables and fruits. Do not plant too much or plant too little. Moderation in consumption It is the cultivation of vegetables to be eaten. and eat the vegetables that are grown. 2. Be reasonable. Make reasonable decisions in setting up a group of the Ban Bang Tao community that will be a space for expressing opinions and exchanging problems. Every month there will be a meeting. Listen to problems and help solve them together. And exchange good things with each other. 3. Have good immunity. Ready to be affected Having a good immune system is the third feature in the philosophy of Sufficiency Economy, ready to change in various areas. Villagers must always be ready for future changes. Changes that occur are environmental. The changing weather conditions make some plants unable to be grown. Therefore, there must be leaders and knowledgeable villagers to solve such problems

. Keywords: community development guidelines / sufficiency economy / model sufficiency economy village / community

การพัฒนารูปแบบการจัดฝึกอบรมสำหรับหลักสูตรผู้นำนักขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์นำการเปลี่ยนแปลง ของศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนอุดรธานี

Nattawut Maokrathok — 2025-09-30

The objectives of this research were 1) To study the training process based on a curriculum for change agent for strategic transformation leadership. 2) To analyze data for after action review based on a curriculum for change agent for strategic transformation leadership. 3) To define the development of a training model based on a curriculum for change agent for strategic transformation leadership of the community development and study center - Udonthani. This research using a qualitative research. To the process by means of document studies, interviews, observations and group discussions. And target groups and key informants total of trainees 645 people. Total of person responsible for training 15 people with were selected by purposive sampling.

The results led to findings as follows: The training process is divided into 3 areas. divided into; 1) Before training 2) During training 3) After training. To the evaluation results of satisfaction with the training program in 4 areas. together with; Speaker side, curriculum side, trainee side and service. Overall evaluation results at the highest level. (Mean = 4.38, S.D. = 0.47) together with; The side with the highest average was the speaker side, which was at the highest level. (Mean = 4.42, S.D. = 0.47) The aspect with the lowest average is the service aspect, which was at the highest level. (Mean = 4.27 , S.D. = 0.68) This is consistent with the results of the analysis of the data reviewed after training was organized (AAR).

The development of a training model based on a curriculum for change agent for strategic transformation leadership. found that; There is a plan to control the quality of operations for efficiency (PDCA). divided into; Plan - DO - Check - Act

It can be defined as an appropriate training format in 4 steps as follows:

1) Before the training process, it consists of administrative work, budget, academics and evaluation Audiovisual equipment, facilities, management, and lecturers.

2) During the training process, starting from registration, orientation, training activities according to the teaching plan. Extra-curricular activities and training completion ceremony.

3) After the training process, it involves an after-training review (AAR), summarizing course evaluation results and project overview. Summary of observation results Prepare press releases and report on the results of training projects.

4) Follow up and evaluate those who have completed training, to evaluate the results obtained from the training. and report project results to the organization's executives.

การจัดการพลังงานทดแทนในชุมชนด้วยทรัพยากรธรรมชาติเพื่อความยั่งยืนตามแนวเชิงพุทธวิถี

นพชัย ถิรทิตสกุล — 2025-09-30

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการจัดการพลังงานทดแทนในชุมชนเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อการประยุกต์ใช้หลักพระพุทธศาสนาในการจัดการการพลังงานทดแทนในชุมชนเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการจัดการพลังงานทดแทนในชุมชนเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติตามแนวเชิงพุทธวิถีเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาประกอบบริบท

ผลการวิจัยพบว่า (1) การจัดการพลังงานทดแทนในชุมชนมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดำเนินการโครงการช่วยให้เกิดผลสำเร็จที่ยั่งยืนในระยะยาวชุมชนเทศบาลเมืองไร่ขิง อ.สามพรานมีความเหมาะสมที่จะใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจาก Biogas (เศษอาหาร) Biomass (เศษไม้และกะลา) (2) การสร้างความตระหนักรู้ในการจัดการพลังงานทดแทนในชุมชนโดยใช้แนวเชิงพุทธวิถีช่วยเสริมสร้างความตระหนักรู้ และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการใช้พลังงานทดแทนอย่างมีสติ มีความรับผิดชอบและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ (3) การระยุกต์ใช้หลักพระพุทธศาสนาในการจัดการพลังงานทดแทนในชุมชนอย่างยั่งยืน ด้วยสติ การแบ่งปัน ความร่วมมือ และมีความรับผิดชอบชุมชนเทศบาลเมืองไร่ขิง อ.สามพราน มีวัดไร่ขิงเป็นศูนย์กลางของการยึดเหนี่ยวทางจิตใจการำนเอาหลักธรรม สังคหวัตถุ 4 มาส่งเสริมในชุมชนยึดปฏิบัติตามสามารถสร้างให้เกิดความยั่งยืนของการจัดการพลังงานทดแทนในชุมชนได้ดี

การเสริมสร้างคุณธรรมทางการเมืองของเยาวชนเพื่อสังคมคุณภาพ

พระนราธิเบศร์ กองมี — 2025-09-30

บทความนี้มุ่งศึกษาถึงความสำคัญของประเด็นดังกล่าว แนวทางการเสริมสร้างคุณธรรมทางการเมืองในเยาวชน และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมในอนาคตการมีคุณธรรมทางการเมืองจะช่วยให้เยาวชนเติบโตเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ มีจิตสำนึกต่อส่วนรวม และมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ส่งเสริมประชาธิปไตย และสร้างสังคมที่เข้มแข็งแนวทางการเสริมสร้างคุณธรรมทางการเมืองในเยาวชนสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับคุณธรรมทางการเมืองในหลักสูตรการศึกษา การจัดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง การสร้างแบบอย่างที่ดีโดยผู้ใหญ่ในสังคม การใช้สื่อมวลชนในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง และการปลูกฝังคุณธรรมในครอบครัวคุณธรรมทางการเมืองที่สำคัญ ได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความยุติธรรม และความมีวินัย การปลูกฝังคุณธรรมเหล่านี้จะช่วยให้เยาวชนเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ และมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ดีหากเยาวชนมีคุณธรรมทางการเมือง สังคมในอนาคตจะมีความสงบสุขและเจริญก้าวหน้า การเมืองจะมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ เศรษฐกิจจะมีความมั่นคงและยั่งยืน และคุณภาพชีวิตของประชาชนจะดีขึ้นการเสริมสร้างคุณธรรมทางการเมืองในเยาวชนเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อสร้างสังคมคุณภาพในอนาคต

แนวทางการพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมในการทบทวนแผนปฏิบัติการ 5 ปี ของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี

Woraluck Promnart — 2025-09-30

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการทบทวนแผนปฏิบัติการ 5 ปี ของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี โดยใช้กรอบแนวคิดทางวิชาการมาพัฒนาร่วมกับการประชุมระดมความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทั้งในระดับพื้นที่ และส่วนกลาง จำนวน 54 คน ซึ่งการทบทวนแผนปฏิบัติการ 5 ปี จะเริ่มต้นจากการทบทวนข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือ ได้แก่ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องการการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี การเก็บข้อมูลปัญหาความต้องการจากเจ้าหน้าที่ และการสำรวจข้อมูลในระบบออนไลน์ รวมถึงการระดมความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติงาน จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้มาจัดทำกลยุทธ์ตามประเด็นการพัฒนาทั้ง 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การเสริมสร้างอาชีพและรายได้แก่สตรี 2) การเสริมสร้างความเข้มแข็งสตรี องค์กรสตรี และการพัฒนาคุณภาพชีวิต และ 3) การเสริมสร้างขีดความสามารถองค์กรในการบริหารกองทุนฯ ตามหลักธรรมาภิบาล ทำให้มีกลยุทธ์ และตัวชี้วัดเพิ่มเติมจากเดิม เพื่อให้ครอบคลุมในทุกมิติตามเกณฑ์มาตรฐานตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งประกอบด้วย 1) กลยุทธ์ลดปัญหาหนี้ค้างชำระ เพื่อการบรรลุตัวชี้วัดร้อยละของหนี้เกินกำหนดชำระต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนด 2) กลยุทธ์เพิ่มอัตราการชำระหนี้ เพื่อการบรรลุตัวชี้วัดร้อยละของยอดเงินกู้โครงการมีการชำระคืนตามกำหนดมากกว่าเป้าหมายที่กำหนด 3) กลยุทธ์ส่งเสริมอาชีพลูกหนี้ เพื่อการบรรลุตัวชี้วัดจำนวนโครงการที่กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีอนุมัติเงินทุนหมุนเวียนในการส่งเสริมอาชีพ 4) กลยุทธ์ส่งเสริมรายได้ เพื่อการบรรลุตัวชี้วัดร้อยละของโครงการที่ได้รับการอนุมัติเงินทุนหมุนเวียนจากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี มีรายได้เพิ่มขึ้น 5) กลยุทธ์พัฒนาเครือข่ายองค์กรสตรี เพื่อการบรรลุตัวชี้วัดจำนวนองค์กรที่มีบทบาทในการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตที่ได้รับการอนุมัติเงินอุดหนุนจากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี 6) กลยุทธ์เสริมสร้างบทบาทและคุณภาพชีวิตสตรี เพื่อการบรรลุตัวชี้วัดจำนวนโครงการที่องค์กรสตรีได้รับการสนับสนุนเงินอุดหนุนเพื่อพัฒนาบทบาทและคุณภาพชีวิตสตรี 7) กลยุทธ์ปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการบรรลุตัวชี้วัดจำนวนโครงการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี 8) กลยุทธ์พัฒนาระบบการบริหารจัดการ เพื่อการบรรลุตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กระทรวงการคลังกำหนด 9) กลยุทธ์พัฒนาศักยภาพด้านการบริหารจัดการ เพื่อการบรรลุตัวชี้วัดการทบทวนแผนยุทธศาสตร์/แผนปฏิบัติการประจำปี/แผนดิจิทัล/แผนบุคลากร และ 10) กลยุทธ์พัฒนาบุคลากร เพื่อการบรรลุตัวชี้วัดจำนวนโครงการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี นอกจากนี้ยังมีการจัดทำแผนงาน/โครงการที่สอดคล้องกับการได้ผลผลิตตามที่กำหนด

คำสำคัญ : ทบทวนแผนปฏิบัติการ 5 ปี, กลยุทธ์, ตัวชี้วัด, กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี