https://so11.tci-thaijo.org/index.php/aij/issue/feed
วารสารนวัตกรรมวิชาการ
2025-08-31T06:52:54+07:00
นวัฒกร โพธิสาร
aij.journal@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารนวัตกรรมวิชาการ (Academic Innovation Journal)</strong><br /><strong>ISSN 3057-1367 (Online)</strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์วารสาร</strong> คือ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางวิชาการให้นักวิจัย นักวิชาการ และผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่บทความทางวิชาการ</p> <p><strong>ขอบเขตวารสาร</strong> ดังนี้ การศึกษา การบริหารจัดการ สหวิทยาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และการบูรณาการศาสตร์เพื่อการพัฒนานวัตกรรม</p> <p><strong>กำหนดการออกวารสาร</strong> โดยออกปีละ 3 ฉบับ ดังนี้ ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม ถึง เมษายน | ฉบับที่ 2 ประจำเดือน พฤษภาคม ถึง สิงหาคม | ฉบับที่ 3 ประจำเดือน กันยายน ถึง ธันวาคม<br /><br /><strong>ประเภทบทความ</strong> บทความแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ โดยรับตีพิมพ์บทความ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ<br /><br /><strong>เงื่อนไขตีพิมพ์บทความ</strong> ดังนี้ <br /><strong>1. การพิจารณาเบื้องต้น</strong> <br /> <span class="x1xsqp64 xiy17q3 x1o6pynw x19co3pv xdj266r xcwd3tp xat24cr x39eecv x2b8uid" data-testid="emoji"><span class="xexx8yu xn5pp95 x18d9i69 x2fxd7x x3jgonx x1bhl96m">🔵 </span></span>บทความต้องอยู่ในขอบเขตของวารสาร<br /> <span class="x1xsqp64 xiy17q3 x1o6pynw x19co3pv xdj266r xcwd3tp xat24cr x39eecv x2b8uid" data-testid="emoji"><span class="xexx8yu xn5pp95 x18d9i69 x2fxd7x x3jgonx x1bhl96m">🔵 </span></span>การเขียนอยู่ในรูปแบบการเขียนบทความที่วารสารกำหนดไว้ <a href="https://drive.google.com/file/d/1bXkLmiqsdYeP5QCQnUyJk-5sZ9bCgAMv/view?usp=sharing">Instructions for Authors</a><br /> <span class="x1xsqp64 xiy17q3 x1o6pynw x19co3pv xdj266r xcwd3tp xat24cr x39eecv x2b8uid" data-testid="emoji"><span class="xexx8yu xn5pp95 x18d9i69 x2fxd7x x3jgonx x1bhl96m">🔵 </span></span>บทความจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น หรือกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเสนอขอตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ <br /> <span class="x1xsqp64 xiy17q3 x1o6pynw x19co3pv xdj266r xcwd3tp xat24cr x39eecv x2b8uid" data-testid="emoji"><span class="xexx8yu xn5pp95 x18d9i69 x2fxd7x x3jgonx x1bhl96m">🔵 </span></span>ข้อมูลภาพ ตาราง และเนื้อหา จะต้องระบุแหล่งที่มา หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์<br /> <span class="x1xsqp64 xiy17q3 x1o6pynw x19co3pv xdj266r xcwd3tp xat24cr x39eecv x2b8uid" data-testid="emoji"><span class="xexx8yu xn5pp95 x18d9i69 x2fxd7x x3jgonx x1bhl96m">🔵 </span></span>บทความอยู่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ (Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International : CC BY-NC-ND 4.0)</p> <p><strong>2. การประเมินบทความ</strong> <br />เมื่อผ่านการพิจารณาเบื้องต้นแล้ว บทความจะถูกส่งไปประเมินคุณภาพของบทความจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Reviewer) อย่างน้อย 2 ท่านที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และรูปแบบการประเมินบทความเป็นแบบผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ (Double-Blind Peer Review)</p> <p><strong>3. การตัดสินบทความ<br /></strong>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์จะต้องผ่านพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน และมีการแก้ไขบทความความข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิและบรรณาธิการอย่างครบถ้วน การตัดสินบทความอยู่บนฐานจริยธรรมการตีพิมพ์ (Publication Ethics) สอดคล้องกับมาตรฐานทางจริยธรรมของคณะกรรมการจริยธรรมการตีพิมพ์ (COPE) และประกาศศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย เรื่อง การประเมินด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณวารสารวิชาการไทยในฐานข้อมูล TCI พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 และประกาศแก้ไขเพิ่มเติม เรื่อง การประเมินด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณวารสารวิชาการไทยในฐานข้อมูล TCI พ.ศ. 2566 (ฉบับที่ 1) ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568</p> <p>ทั้งนี้ วารสารนวัตกรรมวิชาการ<strong> ไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์</strong></p>
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/aij/article/view/1641
การออกแบบระบบการจูงใจในองค์กรที่ใช้เทคโนโลยี AI ให้มีส่วนในแนวทางใหม่สำหรับผู้บริหารทรัพยากรมนุษย์
2025-02-18T14:18:13+07:00
สาวิกา วิชาชัย
fofowika2545@gmail.com
ชมพูนุท สริมา
chomphunutsailma@gmail.com
ณัฐวดี บงแก้ว
nutawadeeb@gmail.com
จินดารัตน์ ปิ่มณี
jindarat.p@acc.msu.ac.th
<p>บทความนี้มุ่งเน้นการศึกษาและออกแบบระบบการจูงใจในองค์กรที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์โดยพิจารณาถึงความท้าทายและโอกาสที่เทคโนโลยีนี้นำมาทั้งในด้านการวิเคราะห์พฤติกรรมพนักงาน การวางแผนพัฒนาอาชีพ และการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานมีส่วนร่วมในองค์กร บทความนี้ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจากกรณีศึกษาในองค์กรที่มีการใช้งาน AI รวมถึงสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารและพนักงาน เพื่อระบุปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการสร้างแรงจูงใจ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การออกแบบระบบการจูงใจที่มี AI เป็นส่วนประกอบหลักสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารเป้าหมายองค์กรและการปรับแต่งการจูงใจให้เหมาะสมกับพนักงานแต่ละบุคคลอย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของระบบดังกล่าวขึ้นอยู่กับความโปร่งใสในการใช้ AI การให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับเทคโนโลยี และการรักษาความสมดุลระหว่างการใช้ AI กับปัจจัยมนุษย์ บทความนี้นำเสนอแนวทางสำหรับผู้บริหารทรัพยากรมนุษย์ในการปรับใช้ระบบการจูงใจที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มความพึงพอใจและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมวิชาการ
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/aij/article/view/2175
กลยุทธ์สำคัญของผู้บริหารการศึกษายุคใหม่ในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการศึกษา
2025-06-04T13:50:19+07:00
ธรรศญา หล่าอุดม
balloontadsaya@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอกลยุทธ์สำคัญของผู้บริหารการศึกษายุคใหม่สามารถนำไปใช้ในการสร้างและบริหารเครือข่ายความร่วมมือทางการศึกษาให้ประสบความสำเร็จ บทความนี้ได้ทบทวนแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการศึกษา เช่น ความหมาย ประเภทของเครือข่าย แนวคิดการบริหารจัดการเครือข่าย การมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคีเครือข่าย และหลักการบริหารที่สำคัญ จากนั้นได้วิเคราะห์บทบาทที่หลากหลายของผู้บริหารการศึกษายุคใหม่ในการเป็นผู้ริเริ่ม กำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ ผู้ประสานงานและสร้างความสัมพันธ์ ผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวก ผู้นำการเปลี่ยนแปลงและสร้างแรงบันดาลใจ ผู้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการเสริมพลัง และผู้ติดตามประเมินผล โดยผู้บริหารจำเป็นต้องใช้ กลยุทธ์สำคัญในการสร้างเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จ ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน 2)การสร้างพันธมิตรและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 3) การบริหารจัดการเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ 4) การสร้างความสัมพันธ์และการสื่อสารที่เข้มแข็ง 5) การติดตามประเมินผลและการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และ 6) การสร้างความยั่งยืนให้เครือข่าย โดยสรุป การที่ผู้บริหารการศึกษายุคใหม่มีความเข้าใจในบทบาทและสามารถประยุกต์ใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม พร้อมทั้งตระหนักถึงความท้าทาย จะช่วยให้เครือข่ายความร่วมมือทางการศึกษาสามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างยั่งยืน</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมวิชาการ
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/aij/article/view/1938
การศึกษาพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มน้ำอัดลมของเจเนอเรชันเอ็กซ์และวาย ในเขตกรุงเทพมหานคร
2025-05-19T10:55:23+07:00
ทิพยรัตน์ เลิศดิษยวรรณ
thipphayar_l@boonrawd.co.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลทางประชากรศาสตร์ 2) เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาด 3) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มน้ำอัดลม การวิจัยมีสมมติฐานการศึกษาวิจัย 1) ส่วนประสมทางการตลาดมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มน้ำอัดลมของเจเนอเรชันเอ็กซ์และวายในเขตกรุงเทพมหานคร เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคเครื่องดื่มน้ำอัดลมในช่วงเจเนอเรชันเอ็กซ์และวาย จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ข้อมูลทางประชากรศาสตร์ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุ 27-44 ปี (GenY) สถานภาพโสด มีการศึกษาระดับปริญญาตรี และประกอบอาชีพพนักงาน/พนักงานบริษัทเอกชน 2) พฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มน้ำอัดลม ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยการซื้อแบบฉับพลันแบบสมบูรณ์ สูงที่สุดเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ซื้อแบบฉับพลันแบบมีการเสนอแนะ และการซื้อแบบฉับพลันแบบวางแผนไว้ เป็นอันดับสุดท้าย 3) ส่วนประสมทางการตลาด ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านพนักงานขาย สูงที่สุดเป็นอันดับแรก รองลงมา คือ ด้านผลิตภัณฑ์ และ ด้านบรรจุภัณฑ์ เป็นอันดับสุดท้าย ผลการทดสอบสมมติฐาน 1) ส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภค ในระดับปานกลาง ส่วนประสมทางการตลาดด้านบรรจุภัณฑ์ ด้านพนักงานขาย ด้านโภชนาการ ด้านการจัดหน้าร้าน ด้านตราผลิตภัณฑ์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภค ในระดับต่ำ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมวิชาการ
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/aij/article/view/2114
เครื่องมือการประเมินนวัตกรรมทางสังคม กรณีศึกษาโครงการตำบลสุขภาวะ ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
2025-06-17T05:08:24+07:00
ปิยะวัฒน์ เจริญศักดิ์
bank.crk@gmail.com
นิสา รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
bank.crk@gmail.com
ณัฐธชนพงศ์ เธียรวรคุณ
bank.crk@gmail.com
ปริยากร พันธุ์สุข
bank.crk@gmail.com
เฉลิมพล จงวิทูกิจ
bank.crk@gmail.com
<p style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประเมินนวัตกรรมทางสังคมและเพื่อออกแบบเครื่องมือการประเมินนวัตกรรมทางสังคม โดยใช้กรณีศึกษาโครงการตำบลสุขภาวะของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เป็นฐานข้อมูลในการวิเคราะห์และออกแบบเครื่องมือการประเมินนวัตกรรมทางสังคม ใช้รูปแบบการวิเคราะห์เอกสาร (Document Analysis) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือแบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) จำนวน 20 คน ในการตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธีการตรวจสอบซ้ำ (Member checking) ผลการศึกษาพบว่า เพื่อให้สามารถสรุปนวัตกรรมชุมชนได้ เครื่องมือในการประเมินนวัตกรรมทางสังคม ควรจะประกอบไปด้วย 4 ส่วนสำคัญ ส่วนที่หนึ่ง ข้อมูลทั่วไป ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการและระบบการจัดการโครงการ ส่วนที่สอง นวัตกรรมทางสังคม ได้แก่ ประเภทนวัตกรรม ประเด็นนวัตกรรม กลุ่มเป้าหมายของนวัตกรรม และผู้นำนวัตกรรม ส่วนที่สาม ผลกระทบต่อสังคมของนวัตกรรมตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) และ ส่วนที่สี่ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมวิชาการ
https://so11.tci-thaijo.org/index.php/aij/article/view/1815
การพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวกและการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองผ้าอ้อม อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยการจัดการเรียนรู้ ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดล
2025-04-08T06:03:46+07:00
พีรธัช ชาวประสงค์
peeratach.ch@ksu.ac.th
สุพจน์ ดวงเนตร
suphot59@gmail.com
ศศิธร แสนพันดร
peeratach.ch@ksu.ac.th
เยาวเรศ รัตนธารทอง
peeratach.ch@ksu.ac.th
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวกและการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดล ให้ผ่านตามเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวกและการลบของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดล โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านหนองผ้าอ้อม อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 9 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดล เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวกและการลบ และ 2) แบบทดสอบทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวกและการลบ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน คือ The Wilcoxon Signed Ranks Test ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวกและการลบหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดล มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ เท่ากับ 71.11 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวกและการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดล สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWDL ร่วมกับบาร์โมเดล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมวิชาการ