วารสารแพทยศาสตรศึกษาสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/MHPE <p><em><strong><u>วารสารแพทยศาสตรศึกษาสำหรับบุคลากรทางการแพทย์</u></strong></em></p> <p> มีวัตถุประสงค์เพื่อการยกระดับคุณภาพการศึกษาของบุคลากรทางการแพทย์ โดยการส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า การเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการทางการศึกษาที่มีคุณภาพสูง และสามารถเข้าถึงได้ (open access)</p> <p> วารสารนี้ มุ่งเน้นบทความทางการศึกษาในหัวข้อด้านวิชาชีพสุขภาพที่หลากหลาย เช่น วิธีการสอนและการเรียนรู้ การประเมิน และนวัตกรรมทางการศึกษา สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ นักวิจัย และผู้นำทางการศึกษาด้านการดูแลสุขภาพ</p> <p><em><strong><u>การประเมินบทความ</u></strong></em></p> <p> บทความที่ตีพิมพ์ลงวารสารจะได้รับการประเมินแบบ double blinded peer - reviewed process (การตรวจสอบแบบปกปิดรายชื่อ) จากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสถาบัน จำนวนอย่างน้อย 2 ท่าน ผ่านระบบ ThaiJO</p> th-TH <p><strong>บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารแพทยศาสตรศึกษาสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ <span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">(การศึกษาวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข) </span></span></strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">เป็นลิขสิทธิ์ของ</span></span>สำนักส่งเสริม สนับสนุนการผลิต พัฒนาแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ <strong> </strong></p> cpird_mhpe@cpird.in.th (Kanokwan Sriruksa) cpird_mhpe@cpird.in.th (Donchanok Sritapong) Mon, 22 Dec 2025 16:28:40 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 Factor analysis in medical education research https://so11.tci-thaijo.org/index.php/MHPE/article/view/2517 <p>งานวิจัยรูปแบบสำรวจความเห็นในทางแพทยศาสตรศึกษามีจำนวนมาก เก็บข้อมูลใช้แบบสอบถาม (questionnaire) ที่สร้างขึ้นใหม่ตามเนื้อหาที่ต้องการ วัดผลเป็นคะแนน Likert scale ตัวอย่างเช่น The Dundee Ready Educational Environment Measure (DREEM) มี 50 คำถาม การวิเคราะห์ผลโดยแสดงคะแนนดิบตามรายข้อทุกข้อคงจะมากเกินไป ดังนั้นการจัดกลุ่มเนื้อหาที่มีจำนวนข้อคำถามมากตั้งแต่ตอนสร้างแบบสอบถามโดยมี expert panel พิจารณานอกจาก content validity แล้วยังรวมถึง construct validity ด้วย และแปลผลด้วยคะแนนตามกลุ่มจะทำให้เข้าใจง่ายกว่า นอกจากนี้ยังจัดกลุ่มภายหลังการสำรวจโดยใช้สถิติวิเคราะห์มาช่วยเรื่อง construct validity ได้ด้วย เทคนิกที่นิยมใช้ได้แก่ Factor analysis</p> Pairoj Boonluksiri ลิขสิทธิ์ (c) 2568 บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารแพทยศาสตรศึกษาสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ (การศึกษาวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข) เป็นลิขสิทธิ์ของสำนักส่งเสริม สนับสนุนการผลิต พัฒนาแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์   https://so11.tci-thaijo.org/index.php/MHPE/management/settings/distribution https://so11.tci-thaijo.org/index.php/MHPE/article/view/2517 Mon, 22 Dec 2025 00:00:00 +0700 Team-Based Learning (TBL) https://so11.tci-thaijo.org/index.php/MHPE/article/view/2507 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การเรียนรู้แบบใช้ทีมเป็นฐาน (TBL) เป็นการเรียนการสอนทางแพทยศาสตรศึกษาเชิงรุกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การจัดการศึกษา TBL มีความเหมาะสมกับการเรียนแพทย์ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งบุคลากรต้องเผชิญกับความท้าทายจากข้อมูลทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นใหม่จำนวนมหาศาล และต้องการทักษะที่เหนือกว่าการท่องจำ TBL ส่งเสริมให้เกิดความรับผิดชอบ การคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะการทำงานร่วมกัน และการสื่อสาร ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่มีขั้นตอนชัดเจน ได้แก่ การเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนเข้าชั้นเรียน การทดสอบความพร้อมรายบุคคล (I-RAT) การทดสอบความพร้อมกลุ่ม (G-RAT) และขั้นตอนการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน TBL ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการออกแบบกิจกรรมที่ชัดเจน การให้ข้อมูลย้อนกลับทันที และพลวัตของทีมที่แข็งแกร่ง บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้อาจารย์แพทย์มีความเข้าใจหลักการศึกษาพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบ TBL การทำความเข้าใจองค์ประกอบเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการนำ TBL ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างประสบความสำเร็จ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้เรียน การคงอยู่ขององค์ความรู้ และการพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับการประกอบวิชาชีพเวชกรรมในอนาคต</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> การเรียนรู้แบบใช้ทีมเป็นฐาน , แพทยศาสตรศึกษา, การเรียนเชิงรุก</p> Wanna Ardonk ลิขสิทธิ์ (c) 2568 บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารแพทยศาสตรศึกษาสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ (การศึกษาวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข) เป็นลิขสิทธิ์ของสำนักส่งเสริม สนับสนุนการผลิต พัฒนาแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์   https://so11.tci-thaijo.org/index.php/MHPE/management/settings/distribution https://so11.tci-thaijo.org/index.php/MHPE/article/view/2507 Mon, 22 Dec 2025 00:00:00 +0700 ความชุกของคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดีในนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกเฉพาะปีที่ 4 และปีที่ 5 แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลชลบุรีและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง https://so11.tci-thaijo.org/index.php/MHPE/article/view/2553 <p><strong>ที่มาของงานวิจัย</strong><strong>: </strong>นักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกมีแนวโน้มประสบปัญหาคุณภาพการนอนลดลง ส่งผลต่อการเรียนรู้และความปลอดภัยของผู้ป่วย การศึกษานี้มีจุดประสงค์เพื่อหาความชุกของนักศึกษาแพทย์ที่มีคุณภาพการนอนหลับไม่ดีระหว่างปฏิบัติงานแผนกอายุรกรรมและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์&nbsp;</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษาไปข้างหน้าแบบภาพตัดขวางของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สี่และปีที่ห้าของปีการศึกษา 2567 ปฏิบัติงานแผนกอายุรกรรมอย่างน้อย 4 สัปดาห์ เก็บข้อมูล ลักษณะพื้นฐาน การนอนหลับโดยใช้แบบสอบถาม The Pittsburgh Sleep Quality Index (PSQI) ฉบับแปลภาษาไทย วิเคราะห์ทางสถิติด้วยวิธี Mann–Whitney U-test หรือ Fisher’s exact test ตามความเหมาะสม และหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยโดย logistic regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> นักศึกษาแพทย์เข้าร่วม 44 คน มีอายุเฉลี่ย 22.1 ปี ร้อยละ 50 เป็นเพศหญิง ความชุกของกลุ่มที่มีคุณภาพการนอนหลับไม่ดี (PSQI มากกว่า 5) ร้อยละ 70.5 สาเหตุที่พบบ่อยคือปัญหาการเรียนและทำงาน (ร้อยละ 56.8) กลุ่มที่มีคุณภาพการนอนหลับไม่ดีมีระยะเวลาการนอนเฉลี่ยน้อยกว่า (5.2±0.8 ชั่วโมง เทียบกับ 6.6± 0.6 ชั่วโมง, <em>p</em>&lt;0.01) มีผลกระทบต่อกิจกรรมในเวลากลางวันมากกว่า (ร้อยละ 90.3 และร้อยละ 46.1, <em>p</em>&lt;0.01) เมื่อเทียบกับอีกกลุ่มตามลำดับ วิเคราะห์ multivariable analysis พบว่า การนอนหลับน้อยกว่า 7ชั่วโมงต่อคืน มีความสัมพันธ์กับการพบคุณภาพการนอนหลับไม่ดี (adjusted OR 9.04,<em> p</em>=0.03)</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ความชุกของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สี่และปีที่ห้าที่มีคุณภาพการนอนหลับไม่ดีคือร้อยละ 70.5 การนอนหลับน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน มีความสัมพันธ์กับการพบคุณภาพการนอนหลับไม่ดี ซึ่งต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: คุณภาพการนอนหลับ นักศึกษาแพทย์ โรงพยาบาลชลบุรี แผนกอายุรกรรม</p> สิทธิกร ศรีวรภัทรกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแพทยศาสตรศึกษาสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/MHPE/article/view/2553 Thu, 18 Dec 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกเรียนต่อแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลศูนย์ในประเทศไทย https://so11.tci-thaijo.org/index.php/MHPE/article/view/2589 <p><strong>Background</strong> : ระบบการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านในประเทศไทยอาจแบ่งได้เป็น 2 ระบบ คือการฝึกอบรมในโรงพยาบาลศูนย์ต่างจังหวัดและการฝึกอบรมในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ซึ่งสัดส่วนการฝึกอบรมในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมีจำนวนมากกว่าอย่างชัดเจนเนื่องจากความนิยมเรียนต่อในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมีมากกว่า ซึ่งหากรู้ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกสถานที่ฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านดังกล่าวก็น่าจะนำมาพัฒนาการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลศูนย์ให้ดีขึ้นซึ่งจะทำให้ความความนิยมในการเรียนต่อแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลศูนย์มีมากขึ้นตามลำดับ</p> <p><strong>Method</strong> : การศึกษานี้เป็น analytical crossectional study เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ในแพทย์ประจำบ้านที่กำลังฝึกอบรมในโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด และศึกษาว่าปัจจัยต่างๆทั้งในแง่คุณสมบัติของสถาบันและเหตุผลส่วนบุคคลมีความสัมพันธ์กับการเลือกเรียนต่อแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลศูนย์ต่างจังหวัดหรือไม่</p> <p><strong>Result</strong> : มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 111 คน แบ่งเป็นเพศชาย 57 (51.35%) เพศหญิง 54 (48.65) เป็นแพทย์ที่ฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลศูนย์ต่างจังหวัดจำนวน 94 (84.68%) และฝึกอบรมในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยจำนวน 17 (15.32%) ผลการศึกษาพบว่าความไม่มั่นใจว่าจะได้รับเลือกเข้าเรียนต่อในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่สัมพันธ์กับการเลือกฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลศูนย์ (p-value = 0.001) ในขณะที่ปัจจัยเรื่องความซับซ้อนของผู้ป่วย คุณภาพของระบบการเรียนการสอน สิ่งสนับสนุนการเรียนการสอนและภาระงานที่ไม่หนักมาก มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในการวิเคราะห์แบบ univariate binary logistic regression แต่ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในการวิเคราะห์แบบ multivariate binary logistic regression</p> <p><strong>Conclusion</strong> : &nbsp;ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้แพทย์เลือกฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลศูนย์ต่างจังหวัดในประเทศไทยคือความไม่มั่นใจว่าจะได้รับเลือกเข้าเรียนต่อในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นเหตุผลส่วนบุคคลที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่สิ่งที่โรงพยาบาลศูนย์สามารถพัฒนาได้คือ การพัฒนาระบบการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านให้มีคุณภาพ การพัฒนาสิ่งสนับสนุนการเรียนการสอน และการสร้างความสมดุลระหว่างการปฏิบัติงาน การเรียนรู้และชีวิตส่วนตัว ซึ่งหากศูนย์แพทย์ใดสามารถพัฒนาปัจจัยดังกล่าวได้ย่อมมีโอกาสที่แพทย์จะเลือกฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลศูนย์นั้นๆเพิ่มมากขึ้นได้ในอนาคต</p> <p>Keywords : &nbsp;residency , internship , regional hospital , tertiary hospital ,community hospital</p> สุพจน์ ฉัตรทินกร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารแพทยศาสตรศึกษาสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/MHPE/article/view/2589 Mon, 22 Dec 2025 00:00:00 +0700