https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/issue/feed วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา 2025-12-16T08:13:30+07:00 ดร.ศิวาพัชญ์ บำรุงเศรษฐพงษ์ journal.iaem@gmail.com Open Journal Systems https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2159 การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อส่งเสริมการศึกษาที่ยั่งยืน 2025-05-29T07:31:15+07:00 ธรรศญา หล่าอุดม balloontadsaya@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการศึกษาที่ยั่งยืนผ่านกลไกการดูแลนักเรียนอย่างเป็นระบบรอบด้าน และมีประสิทธิภาพ ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้นักเรียนสามารถพัฒนาศักยภาพทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญาอย่างสมดุล ลดปัญหาพฤติกรรมเสี่ยง และส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม การบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนต้องอาศัยแนวทางการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ได้แก่ การบริหารเชิงระบบ การพัฒนาศักยภาพครูที่ปรึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศที่ถูกต้องและทันสมัย รวมถึงการจัดทำแผนช่วยเหลือรายบุคคลอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง และการติดตามประเมินผล ผลการศึกษาพบว่า การบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงส่งผลเชิงบวกต่อตัวนักเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการศึกษาที่ยั่งยืน โดยเชื่อมโยงแนวคิดด้านสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งมีผลต่อการกำหนดนโยบายทางการศึกษาและการพัฒนาแนวทางปฏิบัติในสถานศึกษาทุกระดับ โดยเฉพาะในบริบทของการส่งเสริมความเท่าเทียมและคุณภาพการศึกษาสำหรับนักเรียนทุกคน</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2219 การพัฒนาองค์การแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา และแนวทางและปัจจัยสู่ความสำเร็จ 2025-07-28T21:17:34+07:00 จีรัษติธร มุกดาเพชร jeerustitorn@gmail.com <p>ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว สถานศึกษาจำเป็นต้องปรับตัวให้สามารถดำรงอยู่และพัฒนาได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อระบบการศึกษาไทยยังคงประสบปัญหาด้านคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพการบริหารจัดการภายในองค์กร บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวคิดและทฤษฎีขององค์การแห่งการเรียนรู้จากนักวิชาการสำคัญ ได้แก่ Stata, Senge, Marquardt และ Garvin รวมถึงการสังเคราะห์ลักษณะของสถานศึกษาแห่งการเรียนรู้ในบริบทของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการเสนอแนวทางการพัฒนาและปัจจัยสู่ความสำเร็จที่เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษาไทย ทั้งในด้านภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ วัฒนธรรมองค์กร การบริหารจัดการความรู้ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การสร้างวิสัยทัศน์ร่วม และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง บทความชี้ให้เห็นว่า การส่งเสริมให้สถานศึกษาเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษา เนื่องจากองค์กรที่เรียนรู้ได้จะสามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง เรียนรู้จากประสบการณ์ และพัฒนาองค์ความรู้ใหม่เพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมายของการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การพัฒนาองค์กรทางการศึกษาให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้จะต้องได้รับการสนับสนุนจากทั้งผู้นำทางการศึกษา นโยบายระดับชาติ และการมีส่วนร่วมของบุคลากรในองค์กร เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ร่วมกันและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างแท้จริง อันจะส่งผลให้สถานศึกษามีความสามารถในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในระยะยาว</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2330 การคิดเชิงออกแบบ : แนวคิด กระบวนการ และการประยุกต์ใช้ในบริบทการศึกษา 2025-07-18T07:49:17+07:00 สุนทรี วรรณไพเราะ suntaree@tsu.ac.th <p><strong> </strong>บทความนี้มุ่งวิเคราะห์และสังเคราะห์แนวคิดการคิดเชิงออกแบบในฐานะกระบวนการและกรอบความคิดที่มีศักยภาพในการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา โดยนำเสนอทั้งแนวคิด กระบวนการ และการประยุกต์ใช้ในบริบทสถานศึกษา การคิดเชิงออกแบบเน้นการแก้ปัญหาด้วยวิธีคิดเชิงนวัตกรรมที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ผ่านการเข้าใจความต้องการและบริบทของผู้เรียนอย่างลึกซึ้ง ประกอบด้วยกระบวนการ 5 ขั้นตอน ได้แก่ การเข้าใจผู้เรียน การนิยามปัญหา การระดมความคิด การสร้างต้นแบบ และการทดสอบ ซึ่งเป็นวงจรที่ยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้ปรับเปลี่ยนตามข้อเสนอแนะและผลลัพธ์ที่ได้รับจริง</p> <p>จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า การประยุกต์ใช้การคิดเชิงออกแบบในบริบทการศึกษามีส่วนช่วยส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก พัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่เปิดรับนวัตกรรม ทั้งในระดับห้องเรียนและการบริหารสถานศึกษา อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดด้านเวลา ทรัพยากร และความพร้อมของบุคลากรทางการศึกษา บทความจึงสังเคราะห์แนวทางสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนการคิดเชิงออกแบบในระบบการศึกษาไทย โดยเน้นการลงทุนพัฒนาศักยภาพครู การสร้างพื้นที่นวัตกรรมในสถานศึกษา และการปรับรูปแบบการเรียนรู้ให้ตอบโจทย์บริบทจริงของผู้เรียน อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่มีความหมายและยั่งยืน</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2250 การบริหารวิชาการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบนำตนเองของผู้เรียน ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2025-06-14T18:43:56+07:00 นพวินทร์ ขจรพันธ์เวคิน noppawin.khajorn@gmail.com <p>บทความวิชาการฉบับนี้ มีวัตถุประสงค8เพื่อนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารวิชาการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบนำตนเองของผู้เรียนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเน้นให้ผู้เรียนมีบทบาทหลักในการออกแบบและบริหารจัดการกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง โดยครูมีบทบาทเป็น</p> <p>ผู้สนับสนุน ในการส่งเสริมการเรียนรู้แบบนำตนเองของผู้เรียน</p> <p>การบริหารวิชาการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แบบนำตนเองของผู้เรียนในการจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาสามารถทำได้ด้วยกระบวนการบริหารวิชาการ ที่ครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ประกอบด้วย 1) การพัฒนาระบบประกันคุณภาพการศึกษาที่เอื้อต่อ การเรียนรู้แบบนำตนเอง 2) วิจัยเพื่อปรับปรุงและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการนำตนเอง3) จัดหาและส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายเพื่อการเรียนรู้แบบนำตนเอง 4) ออกแบบและพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษาที่ยืดหยุ่นและส่งเสริมการนำตนเอง 5) สร้างสรรค์และพัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่กระตุ้นการนำตนเอง และ 6) วัดและประเมินผลการจัดการศึกษาที่เน้นการสะท้อนตนเองและการพัฒนา</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2331 แนวทางการจัดการทางสัญจรสำหรับผู้สูงอายุในที่พักอาศัยภายใต้บริบทของสังคมไทย 2025-08-10T12:43:29+07:00 โชติวัฒน์ บุญสรรค์ Chotiwat49@gmail.com <p>บทความนี้มุ่งเน้นการศึกษาแนวคิดการออกแบบสภาพแวดล้อมทางสัญจรที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ ซึ่งมีความสำคัญโดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด” ซึ่งมีสัดส่วนผู้สูงอายุเกินร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมด องค์การอนามัยโลกและองค์การสหประชาชาติเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ ทั้งในด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และการเข้าถึงกิจกรรมต่าง ๆ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการจัดการทางสัญจรสำหรับผู้สูงอายุในที่พักอาศัย โดยอิงข้อมูลจากกฎหมาย พระราชบัญญัติ กฎกระทรวง และงานวิชาการทั้งในและต่างประเทศ แม้ว่ากฎหมายและข้อกำหนดจะระบุถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่สาธารณะ อาคารราชการ และโรงพยาบาล แต่การประยุกต์ใช้ในครัวเรือนมักเผชิญอุปสรรค เช่น ความไม่เข้าใจแนวทางการออกแบบ ข้อจำกัดด้านงบประมาณ และทัศนคติของผู้ดูแล แนวคิดอารยสถาปัตย์ (Universal Design) จึงเป็นกรอบสำคัญในการออกแบบทางเดิน ทางลาด ราวจับ ระบบแสงสว่าง และอุปกรณ์ช่วยเหลืออื่น ๆ อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ การผสานเทคโนโลยีช่วยเหลือ เช่น เซนเซอร์ตรวจจับการล้ม ระบบแจ้งเตือนฉุกเฉิน และอุปกรณ์ช่วยเคลื่อนไหว สามารถลดอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัย การปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในบ้านไม่เพียงลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิต ความมั่นใจ และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ การมีส่วนร่วมของครอบครัว ชุมชน และผู้สูงอายุในการวางแผนและปรับปรุงพื้นที่อยู่อาศัยถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน บทความจึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้พื้นที่เดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้กรอบกฎหมายและแนวทางสากล เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสังคมสูงวัยอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2485 ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมตามหลักสัปปุริสธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2025-07-31T18:32:28+07:00 ชนม์ชนก จันโทริ chonchanok1988@gmail.com <p><strong> </strong>ในยุคที่เต็มไปด้วยความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความซับซ้อนต่างๆ ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องมีภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมที่สามารถขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม การนำนวัตกรรมมาใช้อย่างขาดความเข้าใจในมิติทางคุณธรรมอาจก่อให้เกิดปัญหาใหม่ได้ บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอกรอบแนวคิดการบูรณาการภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมตามหลักสัปปุริสธรรมสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นคุณธรรมสากล ได้แก่ ธัมมัญญุตา (รู้จักเหตุ), อัตถัญญุตา (รู้จักผล), อัตตัญญุตา (รู้จักตน), มัตตัญญุตา (รู้จักประมาณ), กาลัญญุตา (รู้จักกาล), ปริสัญญุตา (รู้จักบริษัท), และปุคคลัญญุตา (รู้จักบุคคล) มาเป็น "เข็มทิศภายใน" เพื่อชี้นำการตัดสินใจ การประยุกต์ใช้หลักธรรมเหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถรับมือกับความท้าทายดิจิทัล เช่น การสร้างสมดุลและสุขภาวะดิจิทัล (มัตตัญญุตา) และการสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัล (ปริสัญญุตา) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์สูงสุดคือการยกระดับผู้บริหารสู่การเป็น "ผู้นำนวัตกรรมดิจิทัลอย่างมีปัญญาและคุณธรรม" ที่สามารถนำพาองค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/1930 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบพลิกผัน ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 2025-05-03T07:39:26+07:00 กันต์ธีทัต ศรีใจวงศ์ kanteetat@outlook.com สถิรพร เชาวน์ชัย Kanteetat@outlook.com <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำแบบพลิกผัน ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบพลิกผันของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 โดยมีการดำเนินการวิจัย แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาภาวะผู้นำแบบพลิกผันของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลกเขต 1 จำนวน 297 คน แบ่งออกเป็น ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 88 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง และครูจำนวน 209 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนของครูแต่ละอำเภอ เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถามค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับมีค่าเท่ากับ .97 มีลักษณะเป็นมาตราประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบพลิกผันของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ในการบริหารสถานศึกษา หรือผู้มีคุณวุฒิการบริหารการศึกษา จำนวน 4 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. ผลการศึกษาภาวะผู้นำแบบพลิกผัน ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 ในภาพรวม อยู่ในระดับมากโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.32 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.64</li> <li>2. ผลการศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำแบบพลิกผันของผู้บริหารสถานศึกษา <br />สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษา<br />ควรมีการศึกษาบริบทของสถานศึกษา ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง มีการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีเพื่อเป็นต้นแบบให้ครู บุคลากรการศึกษา และส่งเสริม<br />วัฒนธรรมองค์กรทางดิจิทัลภายในสถานศึกษา สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ตระหนักถึงความเสี่ยง<br />ให้ความรู้กับครู บุคลากร เกี่ยวกับความสำคัญของการบริหารความเสี่ยง</li> </ol> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2150 แนวทางการเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเขตพื้นที่ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ 2025-08-08T10:12:55+07:00 ทศวรรษ สวามิวัสดุ์ tossawat.s@nsru.ac.th ณัฐชัย นิ่มนวล Nattachai.n@nsru.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็น 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเข้มแข็งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ 3) หาแนวทางการเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพ โดยเชิงปริมาณใช้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 251 คน ใช้แบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าถดถอยพหุคูณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ มีผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 10 คน การคัดเลือกแบบเจาะจง ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาแบบอุปนัย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ระดับความคิดเห็นที่มีต่อความเข้มแข็งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน อยู่ในระดับปานกลางและปัจจัยที่ส่งผลต่อความเข้มแข็งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน อยู่ในระดับมาก พบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเข้มแข็งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมของกิจกรรมวิสาหกิจชุมชน ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นฯ ด้านนโยบายของรัฐ และด้านภาวะความเป็นผู้นำ มีนัยสำคัญทางสถิติที่มีระดับ 0.05</p> <p>แนวทางการเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเขตพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดนครสวรรค์ มีแนวทาง การสร้างแรงจูงใจและตระหนักรู้ พัฒนาทักษะและศักยภาพ ใช้เทคโนโลยีและสร้างเครือข่าย การอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญา พัฒนาสินค้า บริการ และการตลาด เพื่อความยั่งยืนของกลุ่ม การเข้าถึงสิทธิประโยชน์และมาตรการ สนับสนุนความรู้กฎหมาย มีส่วนร่วมกำหนดนโยบาย และใช้โครงการรัฐให้เกิดประโยชน์ การสร้างผู้นำรุ่นใหม่ พัฒนาการสื่อสารและแรงจูงใจ พร้อมสร้างเครือข่ายและระบบสืบทอดผู้นำ</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2169 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะเชิงเอไอสำหรับการจัดการศึกษาของ มหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มรัตนโกสินทร์ในเขตกรุงเทพมหานคร 2025-06-30T07:47:22+07:00 พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ phongsak.pha@rmutr.ac.th ศศิรดา แพงไทย phongsak.pha@rmutr.ac.th ฤทธิเดช พรหมดี phongsak.pha@rmutr.ac.th ณัฐชยา สมมาศเดชสกุล phongsak.pha@rmutr.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะ องค์ประกอบ และนำเสนอแนวทางการพัฒนาสมรรถนะเชิงเอไอสำหรับการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มรัตนโกสินทร์ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยมี 4 ขั้นตอน คือ 1) การศึกษาคุณลักษณะ จากการวิเคราะห์เอกสารและสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหาร จำนวน 12 คน 2) การวิเคราะห์องค์ประกอบ จากการสอบถามกลุ่มตัวอย่างผู้บริหาร อาจารย์ และบุคลากร จำนวน 558 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน 3) การตรวจสอบโดยใช้วิธีวิทยาวิจัยสามเส้าด้านข้อมูล และ 4) การนำเสนอแนวทางการพัฒนาโดยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมื่อการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้าง แบบสอบถาม และแบบสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาแบบพรรณาและข้อมูลเชิงปริมาณด้วยการแสดงองค์ประกอบเชิงสำรวจรวมถึงตัวบ่งชี้</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะของสมรรถนะเชิงเอไอมี 3 ด้าน ได้แก่ (1) การรู้เอไอ (2) การใช้และการแก้ปัญหาด้วยเครื่องมือเอไอ และ (3) การปรับตัวการเปลี่ยนแปลงเอไอ 2) องค์ประกอบหลักของสมรรถนะเชิงเอไอมี 3 ด้าน ได้แก่ (1) พุทธิพิสัย (2) ทักษะพิสัย และ (3) จิตพิสัย ส่วนองค์ประกอบย่อย ได้แก่ (1) พื้นฐานคอมพิวเตอร์และเอไอ (2) การเข้าถึงเอไอ (3) การใช้เอไอ (4) การผลิตและการสร้างสรรค์สื่อเอไอ (5) การสื่อสารเอไอ (6) การจัดการสื่อเอไอ และ (7) การประเมินค่าเอไอ 3) แนวทางการพัฒนา 5 วิธี ได้แก่ (1) การเรียนรู้และพัฒนาด้วยตนเอง (2) การเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ (3) การใช้กรณีศึกษา (4) การเรียนรู้ผ่านเอไอ และ (5) การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ ส่วนการพัฒนาทำได้โดยใช้กระบวนการ ASIMI</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2216 การศึกษาสภาพ ความต้องการ และแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3) พุทธศักราช 2568 ของสถานศึกษานำร่องในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2025-06-30T07:46:27+07:00 วัชรภัทร เตชะวัฒนศิริดำรง ananxisu163@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพ 2) ประเมินความต้องการ และ 3) เสนอแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3) พุทธศักราช 2568 ของสถานศึกษานำร่องในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ที่ได้มาจากการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากสถานศึกษานำร่องในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา 3 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 2 คน ครูผู้สอนระดับประถมศึกษาตอนต้น 10 คน และนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น 60 คน รวม 75 คน ด้วยแบบสอบถามเพื่อการวิจัย และแบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา (ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) และเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพความเป็นจริงในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก อย่างไรก็ตาม ครูยังขาดความตระหนักและความเข้าใจเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายและโครงสร้างหลักสูตร 2) ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการออกแบบและพัฒนาหลักสูตร รองลงมาคือ ด้านการจัดการเรียนรู้ ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการพัฒนาศักยภาพครูในการวิเคราะห์และออกแบบหลักสูตรให้สอดคล้องกับสมรรถนะผู้เรียน และ 3) แนวทางในการพัฒนาหลักสูตรประถมศึกษาตอนต้น (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3) พุทธศักราช 2568 มี 5 ด้านสำคัญ ได้แก่ ด้านความรู้ความเข้าใจหลักสูตร (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3) พุทธศักราช 2568 ด้านการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ด้านการพัฒนาครูและนิเทศภายใน และด้านการประเมินผลและความยั่งยืน ผลการวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนพัฒนาหลักสูตรและส่งเสริมคุณภาพการศึกษาในระดับประถมศึกษาต่อไป</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2222 แนวคิดภาวะผู้นำทางการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลางในมหาวิทยาลัยของรัฐกลุ่มที่ 2 แห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา 2025-06-30T07:52:28+07:00 นันท์นภัส ทรงเดชะ ninknunnapat@hotmail.com อนิวัช แก้วจำนงค์ aniwat@tsu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดภาวะผู้นำทางการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลางในมหาวิทยาลัยของรัฐ กลุ่มที่ 2 แห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา และเพื่อเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมภาวะผู้นำซึ่งเอื้อต่อการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพของผู้บริหารระดับกลางในมหาวิทยาลัยดังกล่าว เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้แนวคิดปรากฏการณ์วิทยา และใช้กระบวนทัศน์การวิจัยแบบการตีความ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ บุคลากรทางการศึกษาที่มีตำแหน่งบริหารในระดับมหาวิทยาลัย และเป็นผู้บริหารระดับกลาง ได้แก่ ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการกอง หรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า ผู้ให้ข้อมูลถูกคัดเลือกโดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง และแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์ และแบบสังเกต ที่ผู้วิจัยออกแบบและสร้างขึ้นจากการรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ และเก็บข้อมูลโดยวิธีสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวนผู้ให้ข้อมูลถึงจุดอิ่มตัวที่ 11 ราย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ร่วมกับการวิเคราะห์แบบเชิงประเด็นและการสังเกต</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำทางการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลางมีลักษณะการตัดสินใจที่มีระบบและมีเหตุผล โดยพิจารณาจากข้อมูล ข้อเท็จจริง และข้อจำกัดขององค์กร เช่น กฎหมาย บุคลากร และงบประมาณ การตัดสินใจในสถานการณ์ปกติเน้นการมีส่วนร่วม ขณะที่สถานการณ์เร่งด่วนให้ความสำคัญกับความรวดเร็วและประโยชน์สูงสุดขององค์กร แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับทฤษฎีการตัดสินใจของไซมอน ซึ่งประกอบด้วยการระบุปัญหา ออกแบบทางเลือก และเลือกแนวทางแก้ไข ภายใต้ข้อจำกัดด้านข้อมูล เวลา และทรัพยากร</p> <p>ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำ ได้แก่ การอบรมทักษะการตัดสินใจที่มีระบบ ส่งเสริมการมีส่วนร่วม เตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์เร่งด่วน พัฒนาระบบข้อมูลสนับสนุน เสริมสร้างความโปร่งใส และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในองค์กร</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2254 การประเมินโครงการค่ายวิชาการสะเต็มศึกษาของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 6 โรงเรียนบ้านหนองเล โดยใช้แนวคิดของไทเลอร์ 2025-07-09T17:58:53+07:00 วริศรา วงศ์หล่มแก้ว warisarawo67@nu.ac.th ปนัฐดา นักสิทธิ์ panatdan67@nu.ac.th ธิราลักษณ์ จันทร์ดี tjtiraluck@gmail.com หทัยภัทร ทาอุปรงค์ hathaiphat.t25@gmail.com วรารัตน์ ศรีอ๊อด wararatsr67@nu.ac.th คณิตติน ศิลาเงิน khanitins67@nu.ac.th สายฝน วิบูลรังสรรค์ saifonv@nu.ac.th <p>การประเมินครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินวัตถุประสงค์ของโครงการ 2) ประเมินแผนการดำเนินของโครงการ 3) ประเมินแนวทางในการพัฒนาโครงการ 4) ประเมินการนำโครงการไปปฏิบัติ 5) ประเมินผลลัพธ์ของโครงการ และ 6) ติดตามและประเมินผลกระทบของโครงการ แหล่งข้อมูล ประกอบด้วย 1) บุคลากรทางการศึกษา จำนวน 11 คน และ 2) นักเรียนชั้น ป. 1 - 6 จำนวน 40 คน เครื่องมือ ประกอบด้วย 1) แบบประเมินวัตถุประสงค์ของโครงการ 2) แบบสัมภาษณ์ เกี่ยวกับแผนการดำเนินของโครงการ แนวทางในการพัฒนาโครงการ การดำเนินงานของโครงการ ติดตามและประเมินผลกระทบของโครงการ และทัศนคติของนักเรียน 2) แบบสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนจากการทำกิจกรรมโครงการ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ และ 4) แบบวัดทัศนคติ ผลการวิจัยปรากฏดังนี้ 1) ผลการประเมินวัตถุประสงค์ของโครงการ พบว่า วัตถุประสงค์ของโครงการมีสอดคล้องกับความต้องการของผู้ปกครองในการพัฒนาศักยภาพของนักเรียน 2) ผลการประเมินแผนการดำเนินโครงการ พบว่า ผู้เข้าร่วมโครงการเป็นนักเรียนชั้น ป. 1 - 6 ระยะเวลาที่เหมาะสมคือ 1 วัน ใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมบูรณาการความรู้ STEM ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง และวิทยากรเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน STEM 3) ผลการประเมินแนวทางในการพัฒนาโครงการ พบว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรงบมีความเพียงพอ สื่อและอุปกรณ์ และมีการจัดสรรห้องเรียนได้เพียงพอ 4) ผลการประเมินการนำโครงการไปปฏิบัติ พบว่า นักเรียนได้ทดลองจำลองสถานการณ์ ฝึกการคิดต้นทุน กำไร พื้นที่ ส่งเสริมให้เกิดการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา แต่ระยะเวลาค่อนข้างจำกัด ทำให้นักเรียนไม่ได้ปฏิบัติอย่างเต็มที่ 5) ผลการประเมินผลลัพธ์ของโครงการ พบว่า พฤติกรรมของนักเรียนจากการทำกิจกรรม อยู่ในระดับมากที่สุด และความพึงพอใจ อยู่ในระดับดีมาก 6) ผลการติดตามและประเมินผลกระทบของโครงการ พบว่า นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนมากขึ้น แต่บางส่วนยังคงมีพฤติกรรมการเรียนเหมือนเดิม ทัศนคติของนักเรียนต่อรายวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์หลังเสร็จสิ้นโครงการ อยู่ในระดับมาก</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2378 ทุนทางสังคมในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนตำบลหัวดง อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม 2025-07-12T15:53:57+07:00 ทนงศักดิ์ ปัดสินธุ์ thanongsak170226@gmail.com <p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับทุนทางสังคมในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน และ 2) เปรียบเทียบทุนทางสังคมในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนตำบลหัวดงจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ หัวหน้าครัวเรือนที่อาศัยในชุมชนตำบลหัวดง จำนวน 287 คน โดยการคำนวณจากสูตรของ ทาโร ยามาเน่ (Taro Yamane) ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรโดยใช้ t – test และ One-way ANOVA ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นต่อทุนทางสังคมในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนตำบลหัวดงโดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ทุนทางสังคมในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนตำบลหัวดงที่มีเพศ ระดับการศึกษา และระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชน โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน ส่วนทุนทางสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนตำบลหัวดงที่มีอายุและอาชีพต่างกัน จะเห็นว่าด้านความร่วมมือร่วมใจ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2492 การศึกษาสภาพความต้องการจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาที่มุ่งผลลัพธ์ การเรียนรู้ หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ 2025-08-18T03:01:13+07:00 ภูวนัย กาฬวงศ์ puwanai.kw@bru.ac.th ชลาลัย วงศ์อารีย์ Puwanai.kw@bru.ac.th นฤมล จิตต์หาญ Puwanai.kw@bru.ac.th นพรัตน์ บรรณาลัย Puwanai.kw@bru.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพความต้องการในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาที่มุ่งผลลัพธ์การเรียนรู้ หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต และ 2) เพื่อประเมินความต้องการจำเป็นใน การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาที่มุ่งผลลัพธ์การเรียนรู้ หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยได้ดำเนินการศึกษาเป็น 2 ระยะ คือ ระยะสนทนากลุ่ม และระยะเก็บรวบรวมข้อมูลกับผู้มีส่วนได้เสีย กลุ่มเป้าหมายผู้ให้ข้อมูล แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม โดยใช้การคัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 คน ผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 3 คน อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร จำนวน 5 คน ศิษย์เก่า จำนวน 3 คน ศิษย์ปัจจุบัน จำนวน 5 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 6 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบบันทึก การสนทนากลุ่มและแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น (Modified priority needs) </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ความต้องการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาที่มุ่งผลลัพธ์การเรียนรู้ สาขาวิชานาฏศิลป์ แบ่งเป็น 4 ด้าน คือ ด้านความรู้ ด้านทักษะ ด้านจริยธรรม และด้านคุณลักษณะ และ 2) ผลการประเมินความต้องการจำเป็น พบว่า ดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) ด้านความรู้ มีค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นมากที่สุด (PNI<sub>modified</sub> = 0.092) รองลงมาคือด้านทักษะ (PNI<sub>modified</sub> = 0.087) ด้านลักษณะบุคคล (PNI<sub>modified</sub> = 0.060) และด้านจริยธรรม (PNI<sub>modified</sub> = 0.038) ตามลำดับ</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา https://so11.tci-thaijo.org/index.php/IAEM/article/view/2510 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 2025-08-27T13:17:19+07:00 สัมพันธ์ ถนิมกาญจน์ sampan.35711mm@gmail.com ณัฐธร ขุนทอง sampan.35711mm@gmail.com กตัญญุตา บางโท sampan.35711mm@gmail.com จงกล บัวแก้ว sampan.35711mm@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และ 2) ศึกษาระดับสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 จำนวน 300 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค (Cronbach's Alpha) เท่ากับ 0.946 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) ด้วยโปรแกรม LISREL และสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) โมเดลสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูได้แก่ (1) การวางแผนการจัดการเรียนรู้ (2) การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (3) การใช้สื่อหรือเทคโนโลยี และ (4) การประเมินผลการเรียนรู้ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ องค์ประกอบทั้ง 4 ด้าน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุกมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด และด้านการวางแผนการจัดการเรียนรู้และด้านการใช้สื่อหรือเทคโนโลยีมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด</p> 2025-12-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมการบริหารและการจัดการศึกษา