https://so11.tci-thaijo.org/index.php/GPAT/issue/feed วารสารสมาคมจิตวิทยาแนะแนวแห่งประเทศไทย (Online) 2024-12-23T21:52:43+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กรรณิการ์ แสนสุภา gpat.journal@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารวิจัยวิจัยออนไลน์“วารสารสมาคมจิตวิทยาแนะแนวแห่งประเทศไทย” (Journal of The Guidance Psychology Association of Thailand) เป็นวารสารทางวิชาการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยในลักษณะนิพนธ์ต้นฉบับ (Original Article) นิพนธ์ปริทัศน์ (Review Article) และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับผลงานวิจัย จัดพิมพ์ออกเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ</p> <p>ISSN: 3057-1251 (Online)</p> https://so11.tci-thaijo.org/index.php/GPAT/article/view/1357 การศึกษานักเรียนที่มีปัญหาการปรับตัวในชั้นเรียน โดยการศึกษารายกรณี ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที 1 2024-12-23T21:20:40+07:00 พัชรินทร์ จำปานนท์ patcju@kku.ac.th <p style="font-weight: 400;">การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์&nbsp; เพื่อศึกษาสาเหตุที่ทำให้นักเรียนมีปัญหาด้านการปรับตัว และเพื่อหาแนวทางในการดำเนินการช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหาด้านการปรับตัวเป็นรายกรณี เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; กลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่&nbsp; 1&nbsp; ที่มีปัญหาด้านการปรับตัว&nbsp; จำนวน&nbsp; 3&nbsp; คน&nbsp; วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p style="font-weight: 400;">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษา พบว่า ทั้ง 3 กรณี มีปัญหาด้านการปรับตัว โดยสาเหตุมาจากลักษณส่วนตัว&nbsp; ครอบครัว&nbsp; และการจัดการศึกษาของโรงเรียน&nbsp;&nbsp; ด้านการให้ความช่วยเหลือโดยการใช้รูปแบบการให้คำปรึกษาโดยเน้นผู้รับการปรึกษาเป็นศูนย์กลาง โดยใช้เทคนิคการให้คำปรึกษาแบบนำทางและไม่นำทาง มาเป็นวิธีการในการช่วยเหลือ หลังการให้คำปรึกษา ในระยะติดตามผล สามารถสรุปได้ดังนี้ กรณีศึกษาที่ 1: นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนไปในเชิงบวกมากขึ้น มีการออกไปทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับเพื่อนในชั้นเรียน&nbsp;&nbsp;&nbsp; มีความสนใจในการเรียนมากขึ้น จากการสัมภาษณ์&nbsp; ครูประจำชั้น &nbsp;และครูผู้สอนวิชาต่าง ๆ พบว่า นักเรียนมีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ในส่วนของ กรณีศึกษาที่ 2: นักเรียนมีการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น&nbsp; เช่น&nbsp; มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมากขึ้น มีความสนใจในการทำกิจกรรม มีพฤติกรรมที่สนใจในการเรียนมากขึ้น มีความสุข ไม่มีอาการเศร้า หรือร้องไห้ และมีความเชื่อมั่น และเห็นคุณค่าในตนเองมากขึ้น มีผลการเรียนที่ดีขึ้น มีการแสดงภาวะความเป็นผู้นำได้อย่างชัดเจน ไม่แสดงความวิตกกังวลเมื่ออยู่ในห้องเรียน และ กรณีศึกษาที่ 3 : นักเรียนมีการปรับตัวไป ในทิศทางที่ดีขึ้น&nbsp; เช่น มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนไปในเชิงบวก&nbsp; มีความสนใจในการทำกิจกรรมการเรียนมากขึ้น และมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น&nbsp;&nbsp; และจากการสัมภาษณ์&nbsp; ครูประจำชั้น&nbsp; และครูผู้สอนวิชาต่าง ๆ มีการมาโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ แต่ยังคงมาสายบ้างเป็นบางครั้ง ไม่พบว่าขาดเรียนบ่อย การค้างส่งงานในชั้นเรียนมีจำนวนที่ลดลง อันแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น</p> 2024-12-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/GPAT/article/view/1358 ทุนทางอาชีพของนักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับในช่วงการระบาดของโรคโควิด19 2024-12-23T21:29:09+07:00 ธนศักดิ์ จันทศิลป์ thanasak@kusrd.ac.th นันทวดี ทองอ่อน nantawadee@kusrd.ac.th กนิษฐา หอมกลิ่น Kanittha@kusrd.ac.th <p style="font-weight: 400;">เมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด 19 ไปทั่วโลกจนทำให้การจัดการศึกษาต้องปรับรูปแบบการสอนในรูปแบบใหม่ การวิจัยในครั้งนี้จึงวัตถุประสงค์ 2 ข้อ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับสภาพทุนทางอาชีพ 2) เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่างทุนทางอาชีพกับเกณฑ์มาตรฐาน ในกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3&nbsp; โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โครงการการศึกษาพหุภาษา ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา ปีการศึกษา 2565 ที่จบการศึกษาภาคบังคับในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 จำนวน 100 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบวัดทุนทางอาชีพของบุคคลมีองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ 1) ความสนใจในอาชีพ 2) ทักษะด้านอาชีพ และ 3) บุคลิกภาพที่สัมพันธ์กับอาชีพ ซึ่งทั้ง 3 ด้านมีข้อคำถามด้านละ 80 ข้อ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า ให้คะแนนของคำตอบแต่ละข้อเป็น 1, 2, 3, 4, 5 คะแนน ครอบคลุมกับกลุ่มอาชีพ 10 กลุ่มอาชีพ วิเคราะห์ ข้อมูลทั่วไป เพศ อายุ และแบบวัดทุนทางอาชีพของบุคคล ใช้สถิติเชิงพรรณนาแสดงในรูปของความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างทุนทางอาชีพของบุคคล กับเกณฑ์มาตรฐาน โดยใช้สถิติเชิงอนุมานด้วยการคำนวณสถิติ t-test ผลการวิจัยพบว่า ระดับคะแนนเฉลี่ยทุนทางอาชีพของบุคคลในกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับปานกลาง และมีค่าคะแนนมากกว่าเกณฑ์ปกติ (16.01) ที่ระดับนัยสำคัญ .05</p> 2024-12-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/GPAT/article/view/1359 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเองในอาชีพ อัตลักษณ์แห่งตน และการตัดสินใจเลือกอาชีพ ของนักเรียนโรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ 2024-12-23T21:43:24+07:00 ธนัญกรณ์ เดชโชติอธิวัฒน์ noksirirat1972@gmail.com ภูริเดช พาหุยุทธ์ phurided@rumail.ru.ac.th <p style="font-weight: 400;">&nbsp; &nbsp; งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบระดับการรับรู้ความสามารถของตนเองในอาชีพ อัตลักษณ์แห่งตน และการตัดสินใจเลือกอาชีพ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเองในอัตลักษณ์แห่งตน กับการตัดสินใจเลือกอาชีพ เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ระหว่างการรับรู้ความสามารถของตนเองในอาชีพ อัตลักษณ์แห่งตน และการตัดสินใจเลือกอาชีพ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 100 คน เครื่องมือ คือ 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) แบบวัดการรับรู้ความสามารถของตนเองในอาชีพ 3) แบบวัดอัตลักษณ์แห่งตน และ 4) แบบวัดการตัดสินใจเลือกอาชีพ โดยทุกแบบวัดมีค่า IOC 0.66 - 1.00 มีค่า Cronbach’s Alpha = 0.92, 0.90 และ 0.84 ตามลำดับ ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการรับรู้ความสามารถของตนเองในอาชีพ อยู่ในระดับมาก 2) ระดับการรับรู้ความสามารถของตนเองในอาชีพ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ไม่แตกต่างกัน ระดับอัตลักษณ์แห่งตน เพศต่างกัน มีความแตกต่างกัน<br>อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และระดับการตัดสินใจเลือกอาชีพ ลักษณะการอาศัยต่างกัน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) การรับรู้ความสามารถของตนเองในอาชีพ และอัตลักษณ์แห่งตน มีความสัมพันธ์ทางลบในระดับต่ำกับการตัดสินใจเลือกอาชีพ 4) การรับรู้ความสามารถของตนเองในอาชีพ และอัตลักษณ์แห่งตน ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกอาชีพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 5) สมการพยากรณ์ &nbsp; y= 0.10+0.31X<sub>1</sub><sub>​</sub>+0.64X<sub>2</sub>​ และ z = 0.29X<sub>1</sub>+0.57X<sub>2</sub></p> 2024-12-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/GPAT/article/view/1360 ความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับอารมณ์กับภาวะหมดไฟของเจ้าหน้าที่ ที่ทำงานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ 2024-12-23T21:52:43+07:00 สุดารัตน์ ปานเงิน 6514671007@rumail.ru.ac.th ภูริเดช พาหุยุทธ์ phurided@rumail.ru.ac.th <p style="font-weight: 400;">&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาระดับของภาวะหมดไฟของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ 2) ศึกษาระดับการกำกับอารมณ์ของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ 3) เพื่อเปรียบเทียบการกำกับอารมณ์กับภาวะหมดไฟของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 4) เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างการกำกับอารมณ์กับภาวะหมดไฟของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 136 คน เครื่องมือ&nbsp; คือ ชุดแบบสอบถามภาวะหมดไฟในการทำงานสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จำนวน 3 ตอน ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามภาวะหมดไฟในการทำงาน และแบบสอบถามการกำกับอารมณ์ มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.66 - 1.00 และมีค่า Cronbach’s Alpha เท่ากับ 0.846 และ 0.922 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์การแปรปรวนทางเดียว และค่าสหสัมพันธ์ เพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับภาวะหมดไฟ ด้านการลดความเป็นบุคคล และด้านการลดความสำเร็จส่วนบุคคล อยู่ในระดับสูง ส่วนด้านความอ่อนล้าทางอารมณ์ อยู่ในระดับปานกลาง 2) ระดับการกำกับอารมณ์โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 3) การเปรียบเทียบการกำกับอารมณ์กับภาวะหมดไฟ พบว่า ผู้ที่มีเพศแตกต่างกัน มีอายุแตกต่างกัน มีระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีอายุงานแตกต่างกัน และมีเงินเดือนแตกต่างกัน มีระดับภาวะหมดไฟ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ 4) ภาวะหมดไฟมีความสัมพันธ์กับการกำกับอารมณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2024-12-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/GPAT/article/view/1048 ความสัมพันธ์ของความแข็งแกร่งในชีวิต และ การตระหนักรู้ในตนเอง ต่อ การจัดการความโกรธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร 2024-11-05T15:17:54+07:00 จินต์วิภา พึ่งธรรม 6514671033@rumail.ru.ac.th อุมาภรณ์ สุขารมณ์ gpat.journal@gmail.com <p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาระดับความโกรธจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ เกรดเฉลี่ย และเงินที่ได้ไปโรงเรียนต่อเดือน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร (2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของความแข็งแกร่งในชีวิต ต่อการจัดการความโกรธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของการตระหนักรู้ในตนเองต่อการจัดการความโกรธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนจำนวน 271 คน ข้อมูลถูกรวบรวมโดยใช้แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบวัดการจัดการความโกรธ แบบวัดความแข็งแกร่งในชีวิต และแบบวัดการตระหนักรู้ในตนเอง สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p> ผลการศึกษาครั้งนี้พบว่า (1.) เพศของนักเรียนต่างกันมีการจัดการความโกรธที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพศชายมีแนวโน้มแสดงออกความโกรธสูงกว่า ในขณะที่กลุ่มเพศหญิงมีแนวโน้มใช้การควบคุมอารมณ์มากกว่า สำหรับเกรดเฉลี่ย นักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยสูงสามารถจัดการความโกรธได้ดีกว่ากลุ่มที่มีเกรดเฉลี่ยต่ำ นักเรียนที่ได้รับเงินไปโรงเรียนต่อเดือนในช่วง 2,001 - 4,000 บาท มีการจัดการความโกรธในระดับปานกลาง (2.) ความแข็งแกร่งในชีวิตมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการจัดการความโกรธอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.45, p &lt; 0.01) นักเรียนที่มีความแข็งแกร่งในชีวิตสูงสามารถควบคุมความโกรธได้ดีกว่าในระดับปานกลางถึงสูง (3.) การตระหนักรู้ในตนเองมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลางต่อการจัดการความโกรธ (r = 0.40, p &lt; 0.01)</p> 2024-12-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 สมาคมจิตวิทยาแนะแนวแห่งประเทศไทย