วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal <p><strong>วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 </strong></p> <p><strong> ISSN 3088-1609 (<span style="font-size: 0.875rem;">Online) | ISSN 3088-1730 (Print)</span></strong></p> <p><strong>ระยะเวลาการเผยแพร่ </strong><strong>:</strong> วารสารราย 6 เดือน เผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ </p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน </p> <p>ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม </p> <p><strong>นโยบายการจัดทำวารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ </strong><strong>2</strong></p> <p>วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต รวมถึงรองรับแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life-Long Learning) โดยให้ความสำคัญกับการเฟ้นหาและให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษา เพื่อเปิดโอกาสในการพัฒนาทักษะและศักยภาพที่เหมาะสม นอกจากนี้ วารสารยังมุ่งเน้นการปฏิรูประบบอาชีวศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐาน และสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ </p> th-TH บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร research@veis2.ac.th (ดร.จริยา เอียบสกุล) research@veis2.ac.th (ณัฐวรา ชะลารัตน์) Fri, 19 Dec 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การเติบโตแนวคิดทางคณิตศาสตร์: การสร้างแนวคิดทางคณิตศาสตร์จากแนวคิดขั้นต้นสู่แนวคิดขั้นสูง https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2404 <p>บทความนี้อธิบายการเติบโตแนวคิดทางคณิตศาสตร์ซึ่งพัฒนาจากแนวคิดพื้นฐานสู่แนวคิดขั้นสูง วิธีการวิจัยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการตรวจสอบแบบสามเส้าจากชิ้นงานของนักศึกษา บันทึกการสังเกตพฤติกรรมการคิดและการคาดการณ์แนวคิดทางคณิตศาสตร์ กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1 กลุ่ม จากนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนครที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาแคลคูลัส 1 ปีการศึกษา 2567 โดยใช้วิธีการสุ่ม การวิเคราะห์ผลใช้กรอบแนวคิด [1],[2]ผลการวิจัย พบว่า แนวคิดทางคณิตศาสตร์ของผู้เรียนเบื้องต้นเริ่มจากโลกเชิงกายภาพผ่านการสัมผัส แล้วพัฒนาไปสู่โลกเชิงกึ่งสัญลักษณ์ แล้วพัฒนาไปสู่โลกเชิงสัญลักษณ์ในการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ผ่านการใช้สัญกรณ์ทางคณิตศาสตร์ และพัฒนาไปสู่โลกทางคณิตศาสตร์เพื่อสร้างนิยาม สัจพจน์ทางคณิตศาสตร์อย่างเป็นแบบแผน นอกจากนี้ สื่อที่เป็นรูปธรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดแนวคิดผ่านประสบการณ์การสัมผัส ซึ่งช่วยเชื่อมโยงจินตนาการเข้ากับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ณิศรา สุทธิสังข์, กรรณิการ์ ม่วงชู, เพ็ญนภา สุวรรณบำรุง, พรรณิการ์ มีอ่อน, วรีวรรณ์ วิเศษสิงห์, สุขจิตร ตั้งเจริญุ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2404 Fri, 19 Dec 2025 00:00:00 +0700 การสร้างและหาประสิทธิภาพเตาเผาขยะลดมลพิษทางอากาศสำหรับชุมชน https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2389 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยเรื่องครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) การสร้างเตาเผาขยะลดมลพิษทางอากาศสำหรับชุมชน &nbsp;&nbsp;&nbsp;2) ทดสอบประสิทธิภาพของเตาเผาขยะลดมลพิษทางอากาศลดมลพิษทางอากาศสำหรับชุมชน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้งานเตาเผาขยะลดมลพิษทางอากาศสำหรับชุมชน วิธีการดำเนินการ เริ่มจากการศึกษาข้อมูลเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ออกแบบเตาเผาขยะ จากนั้นสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล โดยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัย ประกอบไปด้วย แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเตาเผาขยะลดมลพิษ แบบบันทึกการทดลองหาประสิทธิภาพเตาเผาลดมลพิษ และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานเตาเผาขยะลดมลพิษ จำนวน 5 คน ที่คัดเลือกมาแบบเจาะจง เพื่อปรึกษาสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อเตาเผาขยะลดมลพิษที่ออกแบบและสร้างขึ้น ทำการทดลองหาประสิทธิภาพ และนำแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ใช้งานเตาเผาขยะลดมลพิษทางอากาศสำหรับชุมชน ที่มีต่อเตาเผาขยะลดมลพิษทางอากาศสำหรับชุมชน จำนวน 30 คน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ที่มีต่อเตาเผาขยะลดมลพิษ เฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบประสิทธิภาพเตาเผาขยะลดมลพิษทางอากาศสำหรับชุมชน พบว่า ค่าเฉลี่ยการทดสอบประสิทธิภาพเตาเผาขยะลดมลพิษ ไอเสียมีค่า Co<sub>2</sub> Pm2.5 &nbsp;Tvoc และ Pm10 ไม่เกินกว่ามาตรฐานกรมควบคุมมลพิษ (TH) ที่กำหนดไว้ การประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานพบว่า อยู่ในระดับมาก</p> ศิริพงษ์ แพร่ศิริพุฒิพงศ์, ณัฐวุฒิ ธูปกลาง, ธนา อ่อนศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2389 Fri, 19 Dec 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านแบบผสมผสาน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนตามข้อตกลง การปฏิบัติงานที่กำหนด https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2417 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านแบบผสมผสานเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามข้อตกลงการปฏิบัติงานที่กำหนด <br />2) พัฒนาและประเมินคุณภาพของชุดการเรียนรู้ด้วยตนเองรายวิชาการบัญชีชั้นกลาง 1 3) ทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านแบบผสมผสาน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามข้อตกลงการปฏิบัติงานที่กำหนด ที่พัฒนาขึ้น และ 4) ติดตามและประเมินผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านแบบผสมผสาน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามข้อตกลงการปฏิบัติงานที่กำหนด ซึ่งเป็นการวิจัยและพัฒนา โดยเริ่มแรกเป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาและประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านฯ ที่ได้ข้อมูลจากการศึกษาเกี่ยวกับสภาพปัญหาและความต้องการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเอกสารตำรา บทความวิชาการ หลังจากนั้นพัฒนาชุดการเรียนรู้ด้วยตนเองรายวิชาการบัญชีชั้นกลาง 1 ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งตามรูปแบบ เพื่อนำไปใช้จัดการเรียนรู้กับกลุ่มประชากรในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง 1 แผนกวิชาการบัญชี วิทยาลัยพณิชยการธนบุรี จำนวน 37 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ <br />1) แบบสอบถาม 2) แบบประเมินความเหมาะสม 3) แบบประเมินคุณภาพ 4) แบบทดสอบ และ 5) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเชื่อมั่น และค่าดัชนีความสอดคล้อง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลการพัฒนาและประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านแบบผสมผสานเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามข้อตกลงการปฏิบัติงานที่กำหนด พบว่า ได้กระบวนการที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของการออกแบบการจัดการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน 9 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) ขั้นเตรียมการสอน</li> </ol> <p> </p> <p>(Input) องค์ประกอบที่ 1 วางแผน: จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ องค์ประกอบที่ 2 บันทึก: สร้างห้องเรียนออนไลน์ จัดทำชุดการเรียนรู้ด้วยตนเอง 2) ขั้นการจัดการเรียนการสอน (Process) องค์ประกอบที่ 1 แชร์: ผู้สอนส่งสื่อออนไลน์ผ่านห้องเรียนออนไลน์ ผู้เรียนเรียนรู้ภาคทฤษฎี ตามแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง 5 P องค์ประกอบที่ 2 แลกเปลี่ยนเรียนรู้: การเรียนภาคปฏิบัติในห้องเรียน 3) ขั้นประเมินผลการเรียนรู้ (Output) องค์ประกอบที่ 1 ทดสอบภาคทฤษฎี องค์ประกอบที่ 2 ทดสอบภาคปฏิบัติ และ 4) ขั้นประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ (Outcome) องค์ประกอบที่ 1 ทดสอบปลายภาค ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ องค์ประกอบที่ 2 ประเมินผล<br />การเรียน (Grade) องค์ประกอบที่ 3 เปรียบเทียบผลการเรียนกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อตกลงการพัฒนางาน (PA) โดยมีผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุดทุกรายการ</p> <ol start="2"> <li>ผลการพัฒนาและประเมินคุณภาพของชุดการเรียนรู้ด้วยตนเองรายวิชาการบัญชีชั้นกลาง 1 พบว่า ชุดการเรียนรู้ด้วยตนเอง แบ่งเป็น 7 หน่วย มีความเหมาะสมในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุดทุกรายการ องค์ประกอบต่าง ๆ ของชุดการเรียนรู้มีความสอดคล้องกันทุกหัวข้อ</li> <li>ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น พบว่า ดำเนินการครบถ้วนตามรูปแบบ ผู้เรียนจัดทำ mind mapping และส่งผลงานคิดเป็นร้อยละ 100</li> <li>ผลการติดตามและประเมินผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีคะแนนเฉลี่ยภาคทฤษฎีร้อยละ 87.40/86.72 ภาคปฏิบัติ ร้อยละ 75.45 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ผลการเรียนอยู่ในระดับ 2 ขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 100 จัดการเรียนรู้ได้ครบถ้วนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติตามเวลาของหลักสูตร และผู้เรียนมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด</li> </ol> วารุณี เอี่ยมอารมณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2417 Fri, 19 Dec 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาทักษะภาวะผู้นำด้านจรณทักษะ (Soft Skills) สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในเครือข่ายใต้ร่มเย็น https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/3067 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะภาวะผู้นำด้านจรณทักษะ(Soft Skills) สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในเครือข่ายใต้ร่มเย็น 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะภาวะผู้นำด้านจรณทักษะ(Soft Skills) สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในเครือข่ายใต้ร่มเย็น กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 70 คน เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นสองระยะ คือ ระยะที่หนึ่งเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม ลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหา ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และประเมินความต้องการจำเป็นโดยใช้สูตร PNI<sub>modified </sub>ระยะที่สองเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสัมภาษณ์ เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะภาวะผู้นำด้านจรณทักษะ(Soft Skills) ของผู้บริหารสถานศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์เนื้อหา และนำเสนอเป็นความเรียง ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของทักษะภาวะผู้นำด้านจรณทักษะ (Soft Skills) สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในเครือข่ายใต้ร่มเย็น อยู่ในระดับมาก ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.32 สภาพที่พึงประสงค์ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.94 ค่าความต้องการจำเป็นเท่ากับ 0.14&nbsp; 2) แนวทางการพัฒนาทักษะภาวะผู้นำด้านจรณทักษะ (Soft Skills) มีแนวทางการดำเนินงาน 3 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านทักษะภาวะผู้นำ เช่น การสร้างแผนพัฒนาคุณภาพสำหรับสถานศึกษา 2) ด้านการสื่อสาร เช่น จัดอบรมหัวข้อ “เทคนิคการสื่อสารเชิงภาวะผู้นำ” 3) ด้านความเป็นมืออาชีพ เช่น จัดทำแผนความเสี่ยงของสถานศึกษา</p> ณัฐสุดา ดำรงค์กาญจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/3067 Fri, 19 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี โดยใช้ HAW KHRK Model เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาที่นำไปฝึกอาชีพในสถานประกอบการ https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2542 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยใช้ HAW KHRK Model เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาที่นําไปฝึกอาชีพในสถานประกอบการ 2) สร้างรูปแบบการบริหารจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยใช้ HAW KHRK Model เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาที่นําไปฝึกอาชีพในสถานประกอบการ 3) ทดลองใช้รูปแบบการบริหารจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยใช้ HAW KHRK Model เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาที่นําไปฝึกอาชีพในสถานประกอบการ และ4) ประเมินผลหลังใช้รูปแบบการบริหารจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยใช้ HAW KHRK Model เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาที่นําไปฝึกอาชีพในสถานประกอบการ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ครูฝึกในสถานประกอบการ ครูผู้สอนระบบทวิภาคี และผู้เรียนระบบทวิภาคี เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบประเมินความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความถูกต้องของรูปแบบ และแบบสอบถามความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) แนวทางการบริหารจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีโดยใช้ HAW KHRK Model เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาที่นําไปฝึกอาชีพในสถานประกอบการ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการสร้างรูปแบบตามความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า ครูที่สอนระบบทวิภาคีสามารถปฏิบัติงานการบริหารจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี โดยใช้ HAW KHRK Model โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 4) ผลการประเมินรูปแบบด้านความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความถูกต้อง อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนระบบทวิภาคีสูงกว่าค่าเป้าหมายที่สถานศึกษากำหนด ทุกสาขาวิชา คิดเป็นร้อยละ 88.35 และความพึงพอใจของคณะกรรมการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ครูฝึกในสถานประกอบการ และผู้เรียนระบบทวิภาคี วิทยาลัยเทคนิคระนอง โดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด</p> อรรวรรณ สังข์ทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2542 Fri, 19 Dec 2025 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา เพื่อส่งเสริมสมรรถนะการสื่อสาร และความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณในวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2843 <p>การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบสมรรถนะการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังจากได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา โดยเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 2) ศึกษาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังจากได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา กลุ่มเป้าหมายได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านป่าก๊อ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 31 คนเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและภาษาจำนวน 4 แผน แบบทดสอบวัดสมรรถนะการสื่อสาร แบบประเมินสมรรถนะการสื่อสาร และแบบประเมินความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละผลการศึกษาพบว่า 1) สมรรถนะการสื่อสารของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนด้วยแผน การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 77.74 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ70 และ2) ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา มีคะแนนค่าเฉลี่ย 39.92 คิดเป็นร้อยละ 79.84 แปลผลได้ว่า มีความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณอยู่ในระดับดีมากหรือผ่านขั้นสูง</p> ทิพย์สุคนธ์ หยุบแก้ว, ผู้ช่วยศาสตรจารย์ ดร.นทัต อัศภาภรณ์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศักดา สวาทะนันทน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2843 Fri, 19 Dec 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบและพัฒนาประสิทธิภาพตู้เลี้ยงปลาควบคุมด้วยระบบ “IOT” (Internet of things) ผ่านกระบวนการเรียนรู้ แบบโครงงานเป็นฐาน https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2696 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและศึกษาประสิทธิภาพของการพัฒนาตู้เลี้ยงปลาควบคุม ด้วยระบบ IOT (Internet of things) ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน 2) ศึกษาความพึงพอใจ ของผู้ใช้ตู้เลี้ยงปลาควบคุมด้วยระบบ IOT (Internet of things) ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน ขอบเขตการวิจัยครอบคลุมนักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรและสาขาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 กับครู ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพะเยา โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างจำนวน 10 คน โดยการสุ่มตัวอย่าง อย่างเจาะจง (Purposive Sampling) การดำเนินการวิจัยประกอบด้วยการออกแบบและพัฒนาตู้เลี้ยงปลาควบคุมด้วยระบบ IOT (Internet of things) ทดลองใช้งานโดยกลุ่มตัวอย่างและประเมินผลการใช้งาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบทดสอบประสิทธิภาพ และแบบทดสอบความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการใช้งานตู้ปลา ผลการวิจัยพบว่า การทดสอบประสิทธิภาพมีค่าเฉลี่ยที่วัดได้คือร้อยละ 96 โดยหัวข้อที่ได้ค่า ความถูกต้องมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 100 คือ เปลี่ยนถ่ายน้ำและเติมน้ำ และเปิด/ปิดปั๊มอากาศ และหัวข้อ ที่ได้ค่าความถูกต้องมาก ในระดับร้อยละ 95 คือ วัด/แสดงผลหน้าจอ/แจ้งเตือนค่าความขุ่นและวัด/แสดงผลอุณหภูมิน้ำ,เปิด/ปิดฮิตเตอร์ ส่วนหัวข้อที่ได้ ค่าความถูกต้องในระดับร้อยละ 90 คือ ให้อาหารปลา และจาก การศึกษาความพึงพอใจ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม มีความคิดเห็นในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.95, S.D.=0.16) โดยข้อที่มีค่าเฉลี่ยในระดับมากที่สุด ได้แก่ ความสะดวกและเหมาะสมในการใช้งาน ระบบเข้าใจได้ง่ายและเหมาะสม ความเหมาะสมในการเลี้ยงปลาสวยงาม และการดูแลรักษา ตู้เลี้ยงปลาควบคุมด้วยระบบ IOT ได้พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเลี้ยงปลาสวยงามให้แก่เกษตรกร ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนและลดเวลาในการดูแลปลาให้กับเกษตรกร</p> ภานุภัทร พงษ์ยศ, เอกพัน บัวบาน, ศิริพงษ์ บุญมา, จักรชัย ปิงเมือง, ศุภนรี ณ มา, สุขฤทัย วงศ์ชัยคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2696 Fri, 19 Dec 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2957 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ความคาดหวัง และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive Research) จากกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูรักษาราชการแทนในตำแหน่งผู้บริหาร หัวหน้าแผนกวิชา และหัวหน้างาน ภายในสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 ประกอบด้วย 7 สถานศึกษา ในปีการศึกษา 2567 จำนวน 175 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการจัดลำดับความต้องการจำเป็น PNImodified</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ในภาพรวมสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก (𝑥̅=3.74) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการสื่อสารดิจิทัล อยู่ในระดับมาก (𝑥̅= 4.06) ความคาดหวังอยู่ในระดับมาก (𝑥̅= 4.40) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการสื่อสารดิจิทัล อยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.51) และผลการประเมินความต้องการจำเป็นพบว่า ด้านที่มีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำด้านดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 สูงสุด คือด้านการพัฒนาวิชาชีพของบุคลากรดิจิทัล (PNI<sub>modified=0.265</sub>) รองลงมาคือ ด้านการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ด้านดิจิทัล (PNI<sub>modified=0.201</sub>) และ ด้านการพัฒนาความคล่องตัวทางดิจิทัล (PNI<sub>modified=0.198</sub>)</p> ปณัชญา ขันภักดี, ชัยวิชิต เชียรชนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/2957 Fri, 19 Dec 2025 00:00:00 +0700 การสร้างและพัฒนาชุดฝึกทักษะการต่อวงจรการติดตั้ง อุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคาร ตามมาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้า สำหรับผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิชาการติดตั้งไฟฟ้าในอาคาร รหัสวิชา 20104-2005 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/3009 <p> </p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและพัฒนาชุดฝึกทักษะการต่อวงจรการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า ในอาคาร ตามมาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้า สำหรับผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิชาการติดตั้งไฟฟ้า ในอาคาร รหัสวิชา 20104-2005 2) ประเมินดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ ด้วยชุดฝึกทักษะการต่อวงจรการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคาร ตามมาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้า และ 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนหลังการจัดการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการติดตั้งไฟฟ้าในอาคาร รหัสวิชา 20104-2005 แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยเทคนิคตรัง ซึ่งได้มาจากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดฝึกทักษะฯ ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีประสิทธิผลหลังจากการจัดการเรียนรู้ (E.I.)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะการต่อวงจรการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคาร ตามมาตรฐานการติดตั้งไฟฟ้า มีประสิทธิภาพ 83.67/82.67 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ มีค่าเท่ากับ 0.81 หรือคิดเป็นร้อยละ 81.00 และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.79, S.D.=0.43)</p> ณัฐพัฒน์ แสนสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/3009 Fri, 19 Dec 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาและทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ HAPPY Model เพื่อยกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชาคณิตศาสตร์ธุรกิจและบริการ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยเทคนิคลพบุรี https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/3025 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ HAPPY Model ในรายวิชาคณิตศาสตร์ธุรกิจและบริการ สำหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ (1) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ HAPPY Model (2) ศึกษาคุณภาพของรูปแบบ (3) ศึกษาประสิทธิภาพของรูปแบบตามเกณฑ์ 80/80 (4) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้รูปแบบ (5) ศึกษาดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index: EI) (6) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน และ (7) ศึกษาเจตคติของนักเรียนหลังการเรียนด้วยรูปแบบ HAPPY Model พัฒนาบนฐานแนวคิดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และแนวคิดสร้างความรู้ทางสังคม (Social Constructivism) โดยบูรณาการทฤษฎีของ Maslow, Vygotsky, Thorndike, Dewey และ Zimmerman เพื่อเสริมสร้างทั้งมิติด้านจิตพิสัยและพุทธิพิสัยของผู้เรียน การวิจัยใช้แบบแผน One-Group Pretest–Posttest Design กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 จำนวน 26 คน ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือประกอบด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ HAPPY Model แผนการจัดการเรียนรู้ 18 แผน ชุดแบบฝึกทักษะ 17 เล่ม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบวัดเจตคติ โดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประสิทธิภาพ และดัชนีประสิทธิผล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้ HAPPY Model มีความเหมาะสมและความสอดคล้อง อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.72, S.D = 0.30 ) ประสิทธิภาพของรูปแบบเท่ากับ = 89.30/84.62 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ = 80/80 อย่างมีนัยสำคัญ ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 0.75 จัดอยู่ในระดับความก้าวหน้าสูง (High Gain) โดยมีความก้าวหน้าทางการเรียนรู้เฉลี่ยร้อยละ 74.50 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบโดยรวม อยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.44, S.D. = 0.57 ) และมีเจตคติที่ดีต่อรายวิชาคณิตศาสตร์ธุรกิจและบริการในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.80, S.D. = 1.21) โดยเฉพาะด้านการเห็นคุณค่าความสำคัญต่ออาชีพ ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.92 ) ผลการวิจัยยืนยันว่าการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการบูรณาการด้านจิตพิสัย (H-step) เข้ากับกระบวนการเรียนรู้เชิงรุก (A, P, P steps) สามารถยกผลสัมฤทธิ์และทักษะการประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์ในบริบทอาชีพได้อย่างมีประสิทธิผล ข้อเสนอแนะคือควรนำรูปแบบไปใช้ ในรายวิชาอื่นของสายอาชีพ และควรมีการวิจัยเชิงเปรียบเทียบเพิ่มเติมเพื่อศึกษาผลต่อทักษะการคิด เชิงวิเคราะห์และความคงทนของการเรียนรู้ในระยะยาว</p> เมณิษา สายสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so11.tci-thaijo.org/index.php/AndamamJournal/article/view/3025 Fri, 19 Dec 2025 00:00:00 +0700